บมจ.ลานนารีซอร์สเซส(LANNA)ปฏิเสธกระแสข่าวลือหาพันธมิตรใหม่ เชื่อผู้ถือหุ้นใหญ่ทั้ง SCCC และ BANPU ไม่คิดขายหุ้น ส่วนภาพรวมรายได้และกำไรปีนี้ไม่ต่ำกว่าปีที่แล้วแต่อาจโตไม่มาก เหตุเอทานอลราคายังไม่ดี ขณะที่ธุรกิจถ่านหินปี 50 ราคาเฉลี่ยสูงขึ้นเป็น 40 เหรียญ/ตัน ขณะที่ปี 51 คาดยอดขายโต 40% หลังเหมือง 3 เปิด พร้อมส่งธุรกิจเอทานอลในเครือเข้าตลาดหุ้นไตรมาส 3/51
*มองเป็นไปได้ยากผู้ถือหุ้นใหญ่ขายหุ้นให้พันธมิตร
นายอนันต์ เล้าหเรณู กรรมการบริหาร LANNA เปิดเผยกับ"อินโฟเควสท์" โดยระบุว่า กระแสข่าวการหาพันธมิตรเข้ามาคงเป็นไปไม่ได้ เพราะบมจ.ปูนซิเมนต์นครหลวงไทย(SCCC)ซึ่งถือหุ้นใหญ่ 45% ยังต้องใช้ถ่านหินเป็นเชื้อเพลิงหลักในกระบวนการผลิตปูนซิเมนต์
นอกจากนั้น SCCC ยังเคยทำเทนเดอร์ฯ LANNA เพื่อจะถือ 100% เพื่อเตรียมให้เราเป็น center ในการซัพพลายถ่านหินให้
"ต้องไปถาม SCCC จะขายหรือไม่ ซึ่ง SCCC ถือ 45% ถ้าเขาไม่ปล่อยใครจะไปซื้อ เป็นไปไม่ได้เพราะต้องซื้อถ่านไปใช้ และโรงงานปูนซิเมนต์ในกลุ่มโฮซิมที่มาเทคฯปูนซิเมนต์นครหลวงก็ใช้ถ่านทั้งหมด เรื่องพันธมิตรต้องไปถามผู้ถือหุ้นใหญ่ แต่ LANNA ไม่มีนโยบาย" นายอนันต์ กล่าว
LANNA ถือหุ้นใหญ่ โดย SCCC ถือ 157 ล้านหุ้น หรือ 44.99% บมจ.บ้านปู(BANPU)ถือหุ้น 35.25 ล้านหุ้น หรือ 10.67%
อนึ่ง LANNA มีเหมืองถ่านหิน 3 แห่งในอินโดนีเซีย และถือหุ้น 75% ในบมจ.ไทย อะโกร เอ็นเนอร์ยี่(TAE) ซึ่งเป็นผู้ผลิตเอทานอล กำลังผลิต 1.5 แสนลิตร/วัน และจะก่อสร้างโรงงานเอทานอลแห่งใหม่ ขนาด 2 แสนลิตร/วัน จะเริ่มผลิตได้ในปลายปี 51
*ปี 50 กำไร-รายได้ไม่ต่ำกว่าปีก่อน/ปี 51 รายได้โต 40% จากเหมือง 3
นายอนันต์ กล่าวว่า ภาพรวมรายได้และกำไรของ LANNA ในปีนี้ไม่ต่ำกว่าปีที่แล้ว แต่อาจจะไม่เติบโตในอัตราที่สูงมาก จากปี 49 ที่มีรายได้รวม 5.5 พันล้านบาทและกำไรสุทธิ 387.94 ล้านบาท
บริษัทคาดว่าปีนี้จะมีปริมาณขายถ่านหินไม่ต่ำกว่าปีก่อนที่มีปริมาณขาย 2.5-3.0 ล้านตัน แต่มีโอกาสที่จะสูงกว่าปีก่อนได้
ซึ่งปัจจุบันเหมืองที่อินโดฯมี 3 เหมือง โดยเหมือง 1-2 กำลังการผลิตที่ 2.5 ล้านตัน/ปี และเหมืองแห่งที่ 3 ตามเป้าหมายเดิมจะเสร็จปีนี้และจะเริ่มขายราวปลายปีนี้หรืออย่างช้าต้นปีหน้า มีกำลังผลิตปีแรก 8 แสนตัน และเพิ่มเป็น 1 ล้านตันในปี 52
ส่วนธุรกิจเอทานอลปีนี้อาจจะต่ำกว่าปีที่แล้ว เพราะราคาลดลง โดยแนวโน้มราคาเอทานอลครึ่งปีหลังอาจจะปรับสูงขึ้นบ้างตามทิศทางราคาน้ำมัน แต่คงต้องรอประกาศราคาอ้างอิงจากบราซิล
อย่างไรก็ตาม บริษัทคงไม่ลดกำลังการผลิตในส่วนของเอทานอล เพราะราคาที่ขายในขณะนี้ยังมีกำไร
"เอทานอลไตรมาส 2 จะลดลงกว่าไตรมาส 1 เพราะราคาปรับลง และขึ้นอยู่กับอัตราแลกเปลี่ยนด้วยเพราะค่าเงินบาทแข็งเอาเงินบราซิลมาต้องมากำหนดอัตราแลกเปลี่ยน"นายอนันต์ กล่าว
ส่วนในปี 51 คาดว่ายอดขายจะเติบโตถึง 40% จากปี 50 หลังเหมือง 3(SGP) จะเริ่มผลิตได้ ซึ่งจะทำให้ปริมาณขายเพิ่มขึ้นเป็น 3.5 ล้านตัน แต่ก็ขึ้นอยู่กับลมฟ้าอากาศด้วยว่าจะสามารถผลิตได้เต็มที่ทั้งปีหรือไม่
"ปีหน้าเหมืองที่ 3 เพิ่งเปิดใหม่ๆ คงไม่เต็มที่อยู่ที่ว่าจะเปิดเท่าไร แต่ขึ้นอยู่กับถ่านหินปลายปีหรือปีหน้า ซึ่งปลายปีนี้คงขายล่วงหน้า 50% และต้องเตรียมสต็อกไว้ขายปีหน้า ความน่าจะเป็นน่าจะขึ้นไปอยู่ตรงนั้น 3.5 ล้านตัน"นายอนันต์ กล่าว
*คาดราคาขายถ่านหินปีนี้สูงกว่า 40 เหรียญ/ตันดีกว่าปีก่อน
นายอนันต์ คาดว่า ราคาขายถ่านหินเฉลี่ยปีนี้น่าจะสูงขึ้นกว่าปีที่แล้ว โดยประเมินว่าจะอยู่ในระดับ 40 เหรียญสหรัฐ/ตัน เพราะถ่านหินส่วนหนึ่งที่นอกเหนือจากการทำสัญญาขายล่วงหน้าที่มาขายในปีนี้ได้ราคาสูงกว่าราคาขายตามสัญญาล่วงหน้าที่ทำไว้ในระดับประมาณ 32-36 เหรียญสหรัฐ/ตัน จึงจะส่งผลทำให้ผลประกอบการปี 50 สูงขึ้นตามราคาขายเฉลี่ยที่สูงขึ้น
สำหรับปี 51 บริษัทตั้งเป้าหมายการทำสัญญาขายล่วงหน้าถ่านหินไว้ที่ 50% ตามนโยบาย ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงโดยเฉพาะในช่วงที่ภาวะราคาถ่านหินเป็นขาขึ้นและมีแนวโน้มที่จะต้องปรับลดลงในอนาคต
"ถ่านหินช่วงนี้ราคาดีแต่ปกติถ่านหินจะต้องมีการขายล่วงหน้า ถ้าปลายปีนี้ยังดีอยู่ จะมีผลดีต่อราคาปีหน้า...ราคาน้ำมันตอนนี้ 70-80 เหรียญฯ คนขายอยากขายล่วงหน้าแต่คนซื้อก็ไม่อยากซื้อเพราะราคาสูงอาจจะซื้อน้อยลง ปีหน้าถ้ามีคนซื้อ 100% ที่ราคาปัจจุบันผมก็อยากขาย อยู่ที่นโยบายการบริหารต้นทุน ซึ่งอัตราแลกเปลี่ยนอย่างนี้ต้องดูด้วยว่าจะบริหารอย่างไร"นายอนันต์ กล่าว
ทั้งนี้ ความต้องการถ่านหินในปีหน้ามีแนวโน้มจะสูงขึ้น โดยเฉพาะจากโรงไฟฟ้าในฮ่องกงที่จะเปิดเดินเครื่องปีหน้า ซึ่งจะมีการประมูลซื้อถ่านหินปลายปีนี้
"ส่วนใหญ่จะอ้างอิงกับตอนที่ขายว่าเรามีกำไรเท่าไร ถ้าราคาถ่านหินอยู่ในลักษณะทรงสูงๆถึงปีหน้า ตอนปลายปีเปิดประมูลคนก็ต้องเสนอราคาตลาด ส่วนราคา Spot ที่เหลือก็จะขายไป"นายอนันต์ กล่าว
*เดินหน้าธุรกิจเอทานอลตั้งสายการผลิต 2 แต่มีโอกาสล่าช้าไปเป็นปี 52
นายอนันต์ กล่าวว่า บริษัทยังคงแผนงานที่จะเปิดโรงงานเอทานอลสายการผลิตที่ 2 ของบริษัทในเครือแม้ว่าราคาขายและสถานการณ์ตลาดในปัจจุบันยังไม่ดีนัก โดยขณะนี้อยู่ระหว่างการเจรจาซื้อเครื่องจักร โดยมีเป้าหมายก่อสร้างเสร็จปลายปี 51 ซึ่งยอมรับว่าอาจเป็นไปได้จะล่าช้าไปเป็นปี 52 แต่คงไม่มาก
ภาวะตลาดเอทานอลในช่วงนี้ยังมีสภาพผลผลิตล้นตลาด เนื่องจากรัฐบาลชุดนี้ปรับเปลี่ยนนโยบายจากที่รัฐบาลชุดก่อนกำหนดยกเลิกขายน้ำมันเบนซิน 95 ในช่วงต้นปี 50 ประกอบกับราคาขายในขณะนี้ไม่สะท้อนต้นทุนที่แท้จริง เพราะใช้ราคาบราซิลเป็นราคาอ้างอิง ซึ่งเป็นคนละตลาดกัน
บริษัทจึงคาดว่ากำไรจากธุรกิจเอทานอลในปีนี้คงไม่ดีเท่าปีก่อน รวมทั้งมีการแข่งขันสูง แต่คงไม่ลดลงมากนัก เพราะบริษัทเปิดดำเนินการเป็นแห่งแรก ๆ
*นำ"ไทยอะโกรฯ"เข้าตลาดหุ้นไตรมาส 3/51
นายอนันต์ กล่าวว่ LANNA จะนำ TAE เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ในช่วงไตรมาส 3/51 โดยขณะนี้ได้ว่าจ้างที่ปรึกษาฯ ไปแล้วและคาดว่าจะรวบรวมข้อมูลไฟลิ่งได้ครบภายในสิ้นปีนี้เพื่อยื่นให้กับสำนักงาน ก.ล.ต.ในปีหน้า
นอกจากนั้น บริษัทยังอยู่ระหว่างศึกษาแผนกระจายหุ้น ซึ่งตามหลักเกณฑ์ก็ต้องมีกระจายหุ้นไม่ต่ำกว่า 25% ของทุนจดทะเบียน รวมทั้งต้องระบุแผนลงทุนในโครงการต่าง ๆ ให้เหมาะสม
"ถ้าไม่อยาก dilute เยอะเราก็เอาโครงการน้อย ถ้าต้องการ dilute เยอะผู้ถือหุ้นเก่าก็ต้อง dilute แต่ถ้าชดเชยทางด้าน capital gain แล้วจะเป็นอย่างไร ยังไม่ได้พิจารณาตรงนั้น ต้องดู timing ต้องดู Track record 3 ปีกว่าจะประกาศก็ประมาณมี.ค.51 เร็วที่สุดอาจจะไตรมาส 2 หรือ 3"นายอนันต์ กล่าว
ล่าสุด TAE เพิ่มทุนจดทะเบียนจาก 450.50 ล้านบาท เป็น 600 ล้านบาทโดยออกหุ้นใหม่ 149.50 ล้านบาท จัดสรรให้ผู้ถือหุ้นจองซื้อในสัดส่วน 1 หุ้นเดิมต่อ 0.331853496 หุ้นใหม่ในราคาหุ้นละ 10 บาท โดยเรียกชำระครั้งเดียวเต็มมูลค่าภายใน 7 ก.ย.50 เพื่อใช้ลงทุนในโรงงานผลิตเอทานอลสายการผลิตที่ 2 ที่จังหวัดสุพรรณบุรี
ส่วนบริษัทลูกในอินโดฯคือ 1.PT.Lanna Harita อินโดฯ 2.Citra Harita Mineral อินโดฯ ยังไม่มีนโยบายจะนำบริษัทใดนำเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์อินโดนีเซีย
--อินโฟเควสท์ โดย จำเนียร พรทวีทรัพย์/ศศิธร โทร.0-2253-5050 ต่อ 345 อีเมล์: sasithorn@infoquest.co.th--