หุ้น STGT ปรับขึ้น 2.14% มาที่ 71.75 บาท หรือเพิ่มขึ้น 1.50 บาท ด้วยมูลค่าซื้อขาย 267.51 ล้านบาท เมื่อเวลา 10.39 น. ราคาเปิดตลาดที่ 71.50 บาท ราคาทำระดับสูงสุดที่ 72 บาท และทำระดับต่ำสุดที่ 71.25 บาท ขณะที่ดัชนีหุ้นไทย ลดลง 0.34%
บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) แนะ"ซื้อ"หุ้นบมจ.ศรีตรังโกลฟส์ (ประเทศไทย) (STGT) ใหี้ราคาเป้าหมายที่ 106 บาท โดยยังคงมุมมองบวกต่อแนวโน้มผลประกอบการของ STGT ขณะที่ราคาหุ้นปรับลดลงก่อนหน้านี้เพราะถูกกดดันเชิง Sentiment จากผู้ประกอบการในมาเลเซียที่ปรับตัวลงแรง แต่ยังมี PER เฉลี่ยสูงกว่า STGT ทำให้มองว่า STGT ควรซื้อขาย Premium เนื่องจากกำลังการผลิตยังดำเนินไปอย่างปกติ เทียบกับมาเลเซียที่โรงงานหลายแห่งถูกปิดเพราะการระบาดของโควิด-19 ของพนักงาน ทำให้ราคาขายต่อชิ้น (ASP) ยิ่งสูงและ STGT เป็นรายเดียวที่ได้ประโยชน์เต็มที่ ดังนั้น การปรับตัวลงเพราะความ Panic จึงเป็นโอกาสลงทุน
ทั้งนี้ คาดการณ์กำไรปกติของ STGT ในไตรมาส 4/63 ทำระดับสูงสุดใหม่ที่ 7,734 ล้านบาท จากราคาขายที่ปรับตัวขึ้นแต่ปริมาณขายเพิ่มขึ้นไม่มากเพราะยังติดปัญหาตู้ไม่เพียงพอ ขณะที่แนวโน้มกำไรยังไต่ระดับสูงสุดใหม่ได้ต่อเนื่องถึงไตรมาส 2/64 เป็นอย่างน้อย ทั้งจากราคาและปริมาณ โดยปรับประมาณการกำไรปี 63 ขึ้นอีก 7% เป็น 13,272 ล้านบาท และปี 64 ขึ้นอีก 45% เป็น 25,571 ล้านบาท ตามลำดับ
ด้านแนวโน้มกำไรไตรมาส 1/64 คาดที่ระดับ 8,000-10,000 ล้านบาท จากราคาขายที่คาดปรับขึ้นอีกไม่น้อยกว่า 10% QoQ ขณะที่ไตรมาส 2/64 อาจเห็นระดับ 10,000 ล้านบาทขึ้นไปได้ จากปริมาณขายจะเพิ่มขึ้น เพราะคาดว่าสถานการณ์ขาดตู้สินค้าจะคลี่คลาย ปัจจุบันบริษัทล็อกราคาขายแล้วถึงเดือน ก.พ.64 แม้ว่าลูกค้าต้องการล็อกราคายาวถึงสิ้นปี แต่บริษัทมองว่าราคาถุงมือยางยังมีโอกาสปรับขึ้นได้จากการขาดแคลน และต้นทุนการผลิตมีโอกาสปรับขึ้นได้เช่นกัน
หยวนต้าฯ มองว่ามีโอกาสที่ราคาถุงมือยางอาจปรับลงได้หากมีวัคซีนแต่จะเป็นแบบค่อยเป็นค่อยไป โดยมอง EPS ในระยะยาวที่ปีละ 10 บาท เพราะอุปสงค์ยังมากกว่าอุปทาน เพียงแต่อุปสงค์ส่วนเกินอาจลดลง ขณะที่ Supply ใหม่คาดว่ายังต้องใช้เวลาถึงปี 65 เป็นอย่างเร็วจึงจะสร้างโรงงานและขอมาตรฐานส่งออกแล้วเสร็จ และอาจอยู่รอดในระยะยาวยากเพราะขาดประสบการณ์ ขาด Economy of scale