นายกิติชาญ ศิริสุขอาชา ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์รายย่อย บล.ซีจีเอส-ซีไอเอ็มบี (ประเทศไทย) กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยเช้านี้คาดว่าจะรีบาวด์ในทิศทางเดียวกับตลาดต่างประเทศ โดยตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียที่ส่วนใหญ่จะฟื้นตัว เช่นเดียวกับตลาดสหรัฐฯ และตลาดในยุโรปที่ต่างบวกกัน ขานรับการเริ่มฉีดวัคซีนต้านไวรัสโควิด-19 ให้กับคนในสหรัฐฯ ทำให้ตลาดมองว่าสถานการณ์การแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 ในสหรัฐฯจะเริ่มชะลอตัวในปีหน้า และจะทำให้เศรษฐกิจกลับมาฟื้นตัวได้ดีขึ้น
ประกอบกับราคาน้ำมันที่ปรับตัวดีขึ้นด้วย ทำให้น่าจะมาช่วยหนุนหุ้นในกลุ่มพลังงาน ขณะที่นักลงทุนต่างชาติกลับมาซื้อสุทธิเมื่อวานนี้กว่า 1,400 ล้านบาท หลังขายสุทธิไป 2 วันติดต่อกัน ทำให้ Sentiment ดูดีขึ้น แต่ยังต้องจับตาแรงซื้อของนักลงทุนต่างชาติว่าจะเข้ามาอย่างต่อเนื่องหรือไม่ อย่างไรก็ดี วอลุ่มเทรดโดยรวมของตลาดฯยังคึกคัก ซึ่งทำให้วันนี้น่าจะมีการเล่นหุ้นในกลุ่มหลัก อย่างกลุ่มแบงก์ และกลุ่มพลังงาน เป็นต้น
อย่างไรก็ดี ให้ติดตามผลการประชุมธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ที่มีการประชุมในวันที่ 15-16 ธ.ค.นี้ และรอดูความคืบหน้ามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของสหรัฐที่คาดว่าใกล้จะออกมาแล้ว รวมถึงติดตามความคืบหน้าสำนักงานอาหารและยาสหรัฐ (FDA) ที่จะอนุมัติการใช้วัคซีนต้านไวรัสโควิด-19 ของบริษัทโมเดอร์นา ในเร็ว ๆ นี้ และเข้าเกณฑ์ที่จะได้รับการอนุมัติเป็นกรณีฉุกเฉิน ส่วนบ้านเราให้รอติดการประกาศหุ้นที่จะเข้า/ออก SET50 และ SET100 ในวันนี้
พร้อมให้แนวรับ 1,470 จุด ส่วนแนวต้าน 1,495 จุด
ประเด็นพิจารณาการลงทุน
- ตลาดหุ้นนิวยอร์กล่าสุด (15 ธ.ค.) ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 30,199.31 จุด เพิ่มขึ้น 337.76 จุด (+1.13%), ดัชนี Nasdaq ปิดที่ 12,595.06 จุด เพิ่มขึ้น 155.02 จุด (+1.25%), ดัชนี S&P500 ปิดที่ 3,694.62 จุด เพิ่มขึ้น 47.13 จุด (+1.29%)
- ตลาดหุ้นเอเชียเปิดตลาดวันนี้ ดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีน เพิ่มขึ้น 4.03 จุด, ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่น เพิ่มขึ้น 147.75 จุด, ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกง เพิ่มขึ้น 213.92 จุด, ดัชนี TAIEX ตลาดหุ้นไต้หวัน เพิ่มขึ้น 76.72 จุด, ดัชนี KOSPI ตลาดหุ้นเกาหลีใต้ เพิ่มขึ้น 6.82 จุด, ดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปร์ เพิ่มขึ้น 9.40 จุด, ดัชนี FBMKLCI ตลาดหุ้นมาเลเซีย เพิ่มขึ้น 20.31 จุด
- ตลาดหุ้นไทยปิดล่าสุด (15 ธ.ค.63) 1,477.21 จุด เพิ่มขึ้น 1.08 จุด (+0.07%)
- นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิ 1,465.44 ล้านบาท เมื่อวันที่ 15 ธ.ค.63
- ราคาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือน ม.ค.64 ในตลาดไนเม็กซ์ปิดทำการล่าสุด (15 ธ.ค.63) ปิดที่ 47.62 ดอลลาร์/บาร์เรล เพิ่มขึ้น 63 เซนต์ หรือ 1.3%
- ค่าการกลั่นอ้างอิงตลาดสิงคโปร์ปิดล่าสุด (15 ธ.ค.63) อยู่ที่ 0.86 ดอลลาร์/บาร์เรล
- เงินบาทเปิด 30.04 แข็งค่าจากวานนี้ ตลาดรอลุ้นผลประชุมเฟดคืนนี้ ให้กรอบ 30.00-30.10
- ครม.รับทราบสัดส่วนหนี้สาธารณะ ร้อยละ 49.34 ต่ำกว่ากรอบกำหนดที่ร้อยละ 60 มั่นใจอยู่ในระดับที่บริหารจัดการได้ ภายใต้กรอบวินัยการเงินการคลังที่กำหนด
- สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) เผยผลการจัดเก็บรายได้รัฐบาลสุทธิเดือน ต.ค.63 จัดเก็บรายได้สุทธิได้จำนวน 167,358 ล้านบาท ต่ำกว่าเป้า 8.5% และต่ำกว่าช่วงเดียวกันปีก่อน 73,712 ล้านบาท หรือ 30.6% ทั้งนี้รายได้ที่ต่ำกว่าเป้าเป็นผลจากภาวะเศรษฐกิจหดตัวจากพิษโควิด-19 การดำเนินนโยบายและมาตรการทางภาษีเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนประชาชนและผู้ประกอบการ จึงส่งผลทำให้รายได้จากการจัดเก็บภาษีลดลงตามไปด้วย
- นายอัทสึชิ ทาเคทานิ ประธานองค์การส่งเสริมการค้าต่างประเทศของญี่ปุ่น (เจโทร) กรุงเทพฯ เปิดเผยถึงผลการสำรวจร้านอาหารญี่ปุ่นในประเทศไทย พบว่า ปี 2563 มีจำนวน 4,094 ร้าน เพิ่มขึ้น 12.6% จาก 3,637 ร้าน จากปี 2562 ประเภทร้านอาหารเพิ่มมากสุด ได้แก่ ร้านอาหารประเภทซูชิและขยายแบบแฟรนไชส์ ขณะเดียวกันมีร้านปิดตัว 726 ร้าน ซึ่งเป็นตัวเลขสูงสุดรอบ 13 ปี นับตั้งแต่ปี 2550 ที่เริ่มสำรวจ สาเหตุจากการแข่งขันรุนแรง และกิจการยังไม่ฟื้นกลับเท่าก่อนช่วงโควิด-19 ระบาด
- นายกรัฐมนตรี นำ ครม.ชมสถานีกลางบางซื่อ ย้ำรัฐบาลส่งเสริมระบบรางเป็นการเดินทางหลัก ฝันไกลอาจจะขยายถึงยุโรปตะวันออก ทดลองสายสีแดงไปรังสิต "ศักดิ์สยาม" ย้ำสถานีบางซื่อเป็นศูนย์กลางคมนาคม-ธุรกิจอาเซียน เทียบชั้นในยุโรป เผยความคืบหน้าแต่ละส่วน รฟท.คาดว่าปีหน้าเปิดใช้งานได้ คาดคนใช้บริการ 86,000 คนต่อเที่ยวต่อวัน ส่วนต่อขยายสายสีแดงคาดเริ่มก่อสร้างปี 65
*หุ้นเด่นวันนี้
- M (ฟินันเซีย ไซรัส) "ซื้อ"เป้า 63 บาท คาดกำไร Q4/63 ฟื้นตัวแข็งแกร่งต่อเนื่อง เพราะเป็น High Season และได้ประโยชน์จากช้อปดีมีคืนและวันหยุดยาวที่เพิ่มขึ้น พร้อมคาดกำไรปี 2563 -59% Y-Y ก่อนฟื้นตัวแรง +117% Y-Y ในปี 2564 กลับมาอยู่ในระดับใกล้เคียงกับช่วงก่อนโควิด-19 และมี Upside เพิ่มเติมจากโอกาส M&A จากฐานะการเงินที่แข็งแกร่ง ไม่มีหนี้ และมีเงินสดในมือถึง 6,800 ล้านบาท
- TOP (ฟินันเซีย ไซรัส) "ซื้อ"เป้า 64 บาท ยังเลือก TOP เป็น Top Pick ของกลุ่มโรงกลั่นคาดค่าการกลั่นจะกลับมาฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่งในปีหน้า ตามกิจกรรมเศรษฐกิจทั่วโลกกลับมาฟื้นตัวหลังจากมีข่าวดีในการพัฒนาวัคซีนป้องกันโควิด-19
- IRPC (เคทีบีฯ) เป้าเชิงกลยุทธ์ 4.00 บาท spread ของหนึ่งในผลิตภัณฑ์หลักอย่าง HDPE ทำจุดสูงสุดนับตั้งแต่ปี 2561 โดยคาดผลการดำเนินงานในปีหน้าฟื้นตัวโดดเด่นล้อไปกับเศรษฐกิจโลก ด้าน Bloomberg Consensus Survey กำไรสุทธิเฉลี่ยใน ปี 2564-2565 ที่ 2.6 พันล้านบาท และ 4 พันล้านบาท เติบโตต่อเนื่อง พลิกจากขาดทุนในปี 2563 และเติบโต +53.8%YoY ในปี 2565 ตามลำดับ