นายรณชิต มหัทธนะพฤทธิ์ รองประธานอาวุโสฝ่ายการเงินและบริหาร บมจ.โรงแรมเซ็นทรัลพลาซา (CENTEL) เปิดเผยว่า แนวโน้มผลการดำเนินงานของบริษัทคาดว่าจะเห็นการฟื้นตัวในช่วงครึ่งปีหลังของปี 64 ตามภาคการท่องเที่ยวที่จะเริ่มทยอยกลับมา แม้ว่าในตอนนี้จะมีความชัดเจนของการนำวัคซีนโควิด-19 มาใช้ในอังกฤษและสหรัฐฯแล้วก็ตาม แต่มองว่าการเปิดประเทศให้นักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามายังจะไม่สามารถทำได้เร็วนัก ทำให้ในครึ่งปีแรกของปี 64 ธุรกิจโรงแรมของบริษัทจะยังได้รับแรงกดดันอย่างต่อเนื่อง
ส่วนธุรกิจอาหารก็คาดว่าจะฟื้นตัวขึ้นได้จากกำลังซื้อในประเทศที่จะดีขึ้นเล็กน้อยในปีหน้า หลังจากหน่วยงานต่างๆ คาดว่าอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ (GDP) จะกลับมาเติบโตในปีหน้า 3-4% จากปีนี้ที่ติดลบ -6 ถึง -7% ซึ่งจะส่งผลบวกต่อการฟื้นตัวของธุรกิจอาหารของบริษัททำได้เล็กน้อยในปี 64
แต่อย่างไรก็ตาม ในปีหน้าสิ่งที่บริษัทยังคงให้ความสำคัญ คือ การควบคุมต้นทุนและค่าใช้จ่ายต่างๆให้มประสิทธิภาพมากที่สุด พร้อมกับจะเริ่มกลับมาเปิดให้บริการบางโรงแรมในประเทศที่ปิดไปในปีนี้ 5 แห่งในสมุยและภูเก็ต รวมทั้งเริ่มเปิดให้บริการโรงแรมใหม่ในต่างประเทศ และขยายร้านอาหารที่มีขนาดเล็กลง
"ปีนี้เป็นปีแห่งการ Survive ปีหน้าก็เป็นปีแห่งการ Challenge เรามองว่าโควิด-19 ยังไม่หายไปอย่างรวดเร็ว อย่างตอนนี้ในประเทศก็กลับมาติดกันอีกในช่วงปลายปีที่เป็นช่วงเทศกาล ก็ทำให้ปีหน้าเรายังคงดำเนินงานอย่างระมัดระวัง แต่ก็ยังมีการลงทุนอยู่ เพราะเป็นการลงทุนต่อเนื่องที่ทำไปแล้ว แต่มองว่ามีโอกาสฟื้นตัวขึ้นจากปีนี้ หากภาคการท่องเที่ยวกลับในครึ่งปีหลัง และเศรษฐกิจมีแนวโน้มที่ดีขึ้นตามที่หน่วยงานต่างๆประเมินไว้"นายรณชิต กล่าว
ในปีนี้ธุรกิจโรงแรมบริษัทคาดว่าอัตราการเข้าพักจะอยู่ที่ 20-30% และรายได้จากการเข้าพัก (RevPar) จะติดลบ 65-75% และธุรกิจอาหารยอดขายจากสาขาเดิม (SSS) จะติดลบ 19-21% และยอดขายจากสาขาทั้งหมด (TSS) จะติดลบ 16-18% ซึ่งมองว่าผลงานในปีนี้ยังคงได้รับแรงกดดันค่อนข้างมาก หลังจากผลการดำเนินงานในช่วง 9 เดือนที่ผ่านมาขาดทุนราว 1.4 พันล้านบาท
นายรณชิต กล่าวว่า บริษทยังคงเดินหน้าขยายการลงทุนอย่างต่อเนื่อง โดยตั้งงบลงทุนรวมในปี 64 ไว้ที่ 4.2 พันล้านบาท สูงขึ้นจากปีนี้ที่ใช้ไป 3.8 พันล้านบาท โดยงบส่วนใหญ่จะเป็นการลงทุนโรงแรมในโอซาก้า ซึ่งบริษัทถือหุ้น 40% และการก่อสร้างโรงแรมในดูไบส่วนที่เหลือให้แล้วเสร็จพร้อมเปิดให้บริการในช่วงไตรมาส 4/64 ส่วนธุรกิจอาหารยังคงมีการขยายร้านอาหารเพิ่มขึ้น แต่จะเน้นขยายร้านที่มีขนาดเล็กลง และขยายไปในพื้นที่นอกห้างสรรพสินค้ามากขึ้น เพื่อให้เข้าถึงชุมชนต่างๆ ที่มีค่าเช่าถูกกว่า และรองรับบริการเดลิเวอรี่ที่สามารถสั่งอาหารได้ตลอด 24 ชั่วโมง
นอกจากนี้ ธุรกิจอาหารในปีหน้าจะมีดีลซื้อกิจการคาดว่าจะมีความชัดเจนในช่วงไตรมาส 1/64 ราว 2 ดีล ซึ่งจะเข้ามาเสริมในพอร์ตร้านอาหารของบริษัท หลังจากปีนี้บริษัทได้ซื้อแบรนด์ Salad Factory และเข้าถือหุ้น 51% ในแบรนด์ Brown โดยร้านอาหารแบรนด์ใหม่ในปีหน้าจะเข้ามาเสริมความหลากหลายให้กับธุรกิจร้านอาหารและสร้างรายได้เพิ่มขึ้นด้วย
ส่วนธุรกิจโรงแรมในปี 64 จะมีโรงแรมที่เปิดใหม่ทั้งหมด 9 แห่ง จำนวนห้องพัก 2,500 ห้อง ซึ่งอยู่ในต่างประเทศทั้งหมด ได้แก่ เวียดนาม ลาว เมียนมา กาตาร์ ตุรกี และดูไบ โดยที่ปัจจุบันบริษัทมีโรงแรมทั้งหมดที่เปิดให้บริการที่เป็นเจ้าของเอง 13 แห่ง กว่า 3,000 ห้อง และโรงแรมที่รับจ้างบริหาร 16 แห่ง 2,500 ห้อง