นายธรณ์ ประจักษ์ธรรม กรรมการผู้จัดการ บมจ.ไทยออพติคอล กรุ๊ป (TOG) เปิดเผยว่า บริษัทตั้งเป้ายอดขายปี 64 เติบโต 6-8% โดยใช้ฐานจากปี 62 ที่ทำยอดขายได้ 2 พันล้านบาท เนื่องจากในปี 63 ถือว่าเป็นปีที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ค่อนข้างมาก ทำให้บริษัทไม่ได้ใช้ฐานยอดขายของปีนี้มาพิจารณาประกอบการทำเป้าหมายในปีหน้า โดยใช้ฐานปี 62 มาใช้เป็นตัวตั้งแทน
กลยุทธ์ของบริษัทในการขายผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับเลนส์สายตาจะมีการปรับกลุ่มสินค้าให้สอดคล้องกับสถานการณ์หลังโควิด-19 ที่บริษัทยังมองว่ากำลังซื้อยังคงอ่อนแอต่อเนื่องในปีหน้า และยังไม่เห็นการกลับมาฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้บริษัทจะหันมาเน้นขายเลนส์ในกลุ่ม Standard มากขึ้นแทนเลนส์กลุ่มพรีเมียม เพราะพฤติกรรมของลูกค้าจะมีการใช้จ่ายลดลงตามกำลังซื้อที่ลดลง ทำให้สินค้าในกลุ่ม Standard จะเป็นกลุ่มสินค้าเลือกใช้ทดแทนกลุ่มพรีเมียมในภาวะที่เศราฐกิจและกำลังซื้อยังชะลอตัว
อย่างไรก็ตาม กลุ่มสินค้าประเภทเลนส์สายเฉพาะบุคคล ซึ่งเป็นเลนส์ชนิดหนึ่งในกลุ่มพรีเมียม ยังเป็นกลุ่มสินค้าที่คนนิยมเลือกใช้กันเป็นจำนวนมาก เพราะตอบโจทย์ตามความต้องการในการใช้สายตา และแก้ปัญหาเฉพาะจุดได้ตามที่ลูกค้าที่มีปัญหาต้องการ โดยเฉพาะในช่วงของการแพร่ระบาดโควิด-19 ที่ผ่านมา คนทำงานและใช้เวลาอยู่บ้านค่อนข้างมาก มีการใช้สายตาในการมองจอภาพเป็นระยะเวลานาน ทำให้อาจจะเกิดปัญหาทางสายตาได้ ทำให้คนเริ่มตระหนักถึงการใช้เลนส์สายตาที่ตอบโจทย์และแก้ปัญหาการมองเห็นเพิ่มขึ้น จึงเป็นโอกาสของบริษัทในการนำเสนอเลนส์สายตาเฉพาะบุคคลในปีหน้า
นอกจากนั้น บริษัทจะยังไม่ออกผลิตภัณฑ์เลนส์ใหม่ในปี 64 แต่จะเป็นการพัฒนาต่อยอดผลิตภัณฑ์ในกลุ่มสินค้าเดิมให้มีประสิทธิภาพดีขึ้น เพื่อเพิ่มทางเลือกให้กับลูกค้า และกลุ่มผลิตภัณฑ์เดิมเป็นกลุ่มที่บริษัทไม่ต้องลงทุนทำการตลาดมากเหมือนกับผลิตภัณฑ์ใหม่ ช่วยให้บริษัทประหยัดค่าใช้จ่าย ซึ่งการพัฒนาต่อยอดเลนส์จะเน้นไปที่กลุ่ม Z Design ที่ลูกค้าให้การตอบรับเป็นอย่างดี และนิยมเลือกใช้สูง
ส่วนการขยายธุรกิจไปยังต่างประเทศในปี 64 จะเปิด TOG Europe ในโปแลนด์ เพื่อเข้ามาช่วยกระจายสินค้าในกลุ่มประเทศยุโรป โดยการเปิด TOG Europe ล่าช้ามาประมาณ 2 เดือน เนื่องจากติดสถานการณ์โควิด-19 ทำให้ไม่สามารถเดินทางไปติดต่องานได้ โดยคาดว่าจะสามารถจัดตั้งได้ภายในเดือน ม.ค.64
นายธรณ์ กล่าวว่า บริษัทยอมรับว่าปีหน้าธุรกิจในยุโรปยังคงเผชิญกับความท้าทายจากภาวะเศรรษฐกิจที่ชะลอตัว ส่งผลกระทบต่อกำลังซื้อที่ลดลง ทำให้พฤติกรรมของลูกค้าเปลี่ยนแปลงไป เริ่มมีการออเดอร์สินค้าไม่เต็มตู้คอนเทนเนอร์ และหันมาสั่งซื้อตามจำนวนที่มีลูกค้าสั่งจองมาเท่านั้น ซึ่งบริษัทก็ได้เตรียมแผนให้ทีมงานเข้าไปยื่นข้อเสนอที่สามารถดึงดูดลูกค้าให้กลับมาสั่งสินค้าเพิ่มขึ้น สำหรับกลุ่มลูกค้าเดิม ควบคู่ไปกับการหาลูกค้าใหม่เข้ามาเพิ่มยอดขายด้วย
ด้าน TOG USA ในปี 64 จะเป็นปีแรกที่ธุรกิจในสหนรัฐฯเริ่มมีกำไร จากการเติบโตของยอดขายที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ซึ่งในปีหน้า TOG USA คาดว่าจะเติบโตได้ในระดับตัวเลข 2 หลัก ซึ่งเป็นปัจจัยที่ช่วยหนุนยอดขายให้กับบริษัทในปีหน้าได้ โดยที่สัดส่วนยอดขายหลักของบริษัทส่วนใหญ่มาจากต่างประเทศถึง 95% ส่วนอีก 5% เป็นยอดขายที่มาจากในประเทศ
สำหรับปัจจัยเสี่ยงในปี 64 นอกเหนือจากภาวะเศรษฐกิจและกำลังซื้อที่ยังคงชะลอตัวต่อเนื่องแล้ว ปัจจัยเงินบาทแข็งค่ายังเป็นสิ่งหนึ่งที่บริษัทต้องติดตาม เพราะเป็นปัจจัยที่ไม่สามารถควบคุมได้ หากค่าเงินบาทแข็งค่าตลอดทั้งปี 64 บริษัทก็อาจจะต้องนำแผนงานมาทบทวนให้เหมาะสมกับภาวะอีกครั้ง แต่เบื้องต้นเป็น Natural hedging อยู่แล้ว ช่วยให้ลดผลกระทบจากค่าเงินบาทแข็งค่าได้ส่วนหนึ่ง
ขณะที่ในปี 64 ได้ตั้งงบลงทุนไว้ที่ 5% ของยอดขาย ซึ่งจะเน้นไปที่การลงทุนระบบไอทีเป็นหลักเพื่อพัฒนาประสิทธิภาพการบริหารจัดการและการดำเนินงานภายใน เพื่อให้สามารถลดต้นทุนการดำเนินงานลงค่อนข้างมาก และรักษาความสามารถในการทำกำไร จากปีนี้ถือว่าบริษัทได้รับแรงกดดันเข้ามากระทบยอดขายและรายได้ค่อนข้างมาก จากโควิด-19 แพร่ะรบาดและเกิดการล็อกดาวน์ ทำให้การขายในไตรมาส 2/63 หยุดชะงักลงทั้งหมด และในไตรมาส 3/63 การใช้กำลังการผลิตก็ลดลงไปมาก ส่งผลกระทบต่อภาพรวมผลดำเนินงานทั้งปี 63 ชะลอตัวลง