นายกรณ์ ณรงค์เดช ประธานคณะกรรมการบริหาร บมจ.ไรมอน แลนด์ (RML) เปิดเผยว่า บริษัทวางแผนเปิดโครงการคอนโดมิเนียมใหม่ในปี 64 จำนวน 2 โครงการ มูลค่ารวม 5,000-10,000 ล้านบาท โดยบริษัทอยู่ระหว่างการติดตามสถานการณ์ของการแพร่ระบาดโควิด-19 และดูภาวะของตลาดอสังหาริมทรัพย์ในปีหน้าว่าจะเป็นอย่างไร ซึ่งแผนการเปิดโครงการใหม่ยังสามารถปรับเปลี่ยนได้ตามความเหมาะสม ปัจจุบันบริษัทมีที่ดิน บริเวณสุขุมวิท 28 พื้นที่กว่า 2 ไร่ และสุขุมวิท 38 พื้นที่ 3.5 ไร่ ที่พร้อมพัฒนาเป็นโครงการคอนโดมิเนียมได้ทันที
อย่างไรก็ตาม แผนการดำเนินงานในปี 64 จะยังไม่รุกการขยายธุรกิจอย่างมาก โดยจะเน้นการรักษาสภาพคล่องและกระแสเงินสดเป็นหลัก เพื่อผลักดันให้สามารถผ่านพ้นช่วงเวลาวิกฤติที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ไปได้ ทำให้บริษัทยังคงเน้นการขายสินค้าในสต็อกเพื่อสร้างกระแสเงินสดเข้ามา พร้อมกับหาแนวทางโอนโครงการคอนโดมิเนียมให้กับลูกค้าให้มากที่สุด โดยเฉพาะลูกค้าชาวต่างชาติ ซึ่งเบื้องต้นในปี 64 คาดว่าจะมีการโอนโครงการที่มีมูลค่ายอดขายรอโอน (Backlog) ได้ 2.5-3 พันล้านบาท จาก Backlog ที่มีอยู่ทั้งหมด 8 พันล้านบาท
สำหรับกลุ่มของลูกค้าชาวต่างชาตินั้น บริษัทได้ลงนามสัญญาความร่วมมือกับ บริษัท ไทยแลนด์ พริวิเลจ คาร์ด จำกัด (TPC) เพื่อเป็นผู้แทนจำหน่ายบัตรสมาชิกพิเศษ Elite Flexible One รายแรก ซึ่งความร่วมมือครั้งนี้ถือเป็นโอกาสทางธุรกิจที่สำคัญในการขยายฐานลูกค้าชาวต่างชาติเพิ่มขึ้น โดยผู้ที่จะสมัครสมาชิกบัตร Elite Flexible One ต้องมีการลงทุนในการซื้ออสังหาริมทรัพย์ประเภทคอนโดมิเนียมใหม่ที่ก่อสร้างเสร็จพร้อมอยู่ในประเทศไทย มูลค่ารวมไม่น้อยกว่า 10 ล้านบาท ซึ่งห้องชุดที่ซื้อนั้นจะต้องเป็นของผู้ประกอบการรายเดียวกัน หรือบริษัทเดียว โดยโปรแกรมพิเศษดังกล่าวจะมีระยะเวลาดำเนินการ 2 ปี เริ่มตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. 64 และจะสิ้นสุดในวันที่ 31 ธ.ค. 65
ทั้งนี้ บริษัทจะนำคอนโดมิเนียมสร้างเสร็จพร้อมเข้าอยู่ร่วมรายการ 3 โครงการ เช่น คอนโดมิเนียมระดับลักซ์ชัวรี่ The Lofts Silom, The River และ The Diplomat 39 โดยตั้งเป้ายอดขายในช่วง 2 ปี รวมกว่า 200 ล้านบาท
นอกจากนี้ บริษัทยังมีการปรับแผนธุรกิจบางอย่าง เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น โดยเฉพาะในส่วนของธุรกิจการแพทย์ที่บริษัทเคยประกาศแผนลงทุนไปก่อนหน้านี้ โดยในส่วนของศูนย์ที่ปรึกษาผู้มีบุตรยาก (IVF) ที่อาคารสำนักงาน One City Centre บริษัทได้ยกเลิกการลงทุนไปแล้ว และนำพื้นที่ดังกล่าวมาปล่อยเช่าเป็นอาคารสำนักงานให้กับลูกค้าอื่นๆ
ส่วนศูนย์ IVF และโครงการ Wellness ที่เขาใหญ่ บริษัทได้ชะลอการลงทุนไป และนำมาปรับรูปแบบเพื่อพัฒนาเป็นโรงแรมหรือที่อยู่อาศัยต่อไปในอนาคต
"แผนงานในปี 64 เรายังคงให้ความสำคัญกับการสร้างสภาพคล่องและเพิ่มกระแสเงินสดให้กับบริษัทเป็นหลักในภาวะที่ปัจจัยโควิด-19 ยังมีความไม่แน่นอน ส่วนธุรกิจใหม่ ๆ ที่ได้ประกาศแผนการลงทุนไปก่อนหน้านี้ก็คงยกเลิกและปรับแผนใหม่ทำในสิ่งที่เราถนัดเป็นหลัก แต่เราก็ก็ยังมองโอกาสในการลงทุนใหม่ ๆ โดยเฉพาะการซื้อโครงการมาทำต่อ ซึ่งมองว่าปีหน้าอาจจะมีการเสนอขายออกมาบ้าง ถ้าเราศึกษาแล้วเหมาะสม สามารถสร้างโอกาสให้กับบริษัทได้เราก็จะเข้าลงทุน"นายกรณ์ กล่าว
นายกรณ์ กล่าวว่า สำหรับภาพรวมของบริษัทในปีนี้มองว่าการพลิกกลับมามีกำไรอาจจะยังเป็นไปได้ยาก แม้ว่าบริษัทจะมีการขายที่ดินไปก่อนหน้านี้มูลค่า 700 ล้านบาท แต่เป็นการขายที่บันทึกผลขาดทุนเข้ามา เพื่อเสริมสภาพคล่องให้กับบริษัท โดยบริษัทมีกระแสเงินสดอยู่ในปัจจุบันราว 500 ล้านบาท ซึ่งยอมรับว่าธุรกิจได้รับแรงกดดันเข้ามาค่อนข้างมากหลังเกิดการแพร่ระบาดโควิด-19
ส่วนในปี 64 ยังไม่มีโครงการใหม่ที่จะเข้ามาโอนเพิ่มเนื่องจากโครงการใหม่ที่อยู่ระหว่างการก่อสร้างจะมีการโอนอีกครั้งในปี 65 คือ โครงการ Estell และในปี 66 คือโครงการ TAIT สาทร 12 ทำให้ในปีหน้าบริษัทจะต้องเร่งการขายและโอนโครงการเดิมที่ลูกค้าซื้อไปแล้ว เพื่อสร้างรายได้เข้ามา ส่วนโรงแรม The Kitch Hotel ได้เลื่อนเป้ดออกไปเป็นต้นปี 64 จากเดิมจะเปิดให้บริการในไตรมาส 4/63
นางสาวฐาปนีย์ เกียรติไพบูลย์ รองผู้ว่าการด้านสินค้าและธุรกิจท่องเที่ยว การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) กล่าวว่า บัตร Elite Flexible One จะมอบให้แก่นักธุรกิจหรือนักลงทุนชาวต่างชาติที่ซื้ออสังหาริมทรัพย์ที่เข้าร่วมโครงการฯ กับบริษัท ไทยแลนด์ พริวิเลจ คาร์ด จำกัด ที่มีมูลค่ารวมไม่น้อยกว่า 10 ล้านบาท ซึ่งบัตรดังกล่าวจะมีสิทธิพิเศษต่าง ๆ อาทิ วีซ่าประเภท Privilege Entry อายุ 5 ปี การใช้บริการผู้ช่วยส่วนตัวที่สนามบิน เป็นต้น โดย ททท. คาดว่าจะมีนักธุรกิจหรือนักลงทุนสนใจลงทุนโปรแกรมนี้อย่างน้อย 100 ราย และมีเม็ดเงินลงทุนอสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทยมากกว่า 1,000 ล้านบาท
ทั้งนี้ การจัดทำบันทึกข้อตกลงฉบับนี้จะเป็นส่วนหนึ่งของการฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศไทยภายหลังวิกฤตโควิด-19 ที่จะช่วย Rebound กระตุ้นตลาดนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติให้ฟื้นกลับมาในระยะเวลาอันรวดเร็ว และเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้แก่ประเทศไทยในการเป็นจุดหมายปลายทางยอดนิยมอย่างยั่งยืน