นายชัยณรงค์ ณ ลำพูน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.อินเด็กซ์ อินเตอร์เนชั่นแนล กรุ๊ป (IND) กล่าวว่า การเข้าเป็นบริษัทหลักทรัพย์จดทะเบียนและทำการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ (mai) ในวันพรุ่งนี้ (22 ธ.ค.) เป็นวันแรกนั้น บริษัทหวังว่าจากปัจจัยพื้นฐานของบริษัทที่มีความมั่นคง มีฐานะทางการเงินที่แข็งแกร่ง โดยมีอัตราหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยต่อส่วนของผู้ถือหุ้นต่ำมากที่ 0.03 เท่า และประสบการณ์ในการทำงานที่มีมาอย่างยาวนานกว่า 37 ปีนั้น จะส่งทั้งผลให้หุ้น IND เป็นหุ้นที่น่าสนใจและได้รับการตอบรับที่ดีจากนักลงทุน
ทั้งนี้ ในด้านผลประกอบการในระยะยาวของบริษัท ก็ยังมีโอกาสเติบโตได้อีกมาก จากการเข้าไปรับงานภาครัฐ ซึ่งปัจจุบันภาครัฐก็มีการทยอยเปิดประมูลงานอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็น กรมทางหลวง, กรมชลประทาน, กรมเจ้าท่า, กรมท่าอากาศยาน เป็นต้น ซึ่งบริษัทมีสัดส่วนรายได้ถึง 80% ที่มาจากงานภาครัฐ
สำหรับการเข้าไปประมูลงานในช่วงนี้ ล่าสุด บริษัทได้ชนะประมูลงานมาเพิ่มอีก 2 งาน ซึ่งมีการเซ็นสัญญาไปแล้ว และอยู่ระหว่างประมูลงานเพิ่มอีก 5-6 งาน ซึ่งในส่วนนี้ยังไม่รวมงานในมือ (Backlog) ที่มีอยู่ปัจจุบันราว 530 ล้านบาท ที่คาดว่าจะทยอยรับรู้รายได้เข้ามาในปี 64
ส่วนสถานการณ์โควิด-19 ในประเทศไทยที่กลับมาระบาดรอบใหม่นั้น บริษัทไม่ได้มีความกังวลมากนัก เนื่องจากงานปริมาณงานในมือยังมีอยู่ค่อนข้างสูง และยังเชื่อมั่นในการทำงานของภาครัฐว่าจะสามารถควบคุมได้ อีกทั้งหากมีการล็อกดาวน์เกิดขึ้นเหมือนกับต้นปีบริษัทก็ยังสามารถทำงานออกแบบได้อย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตามยอมรับว่าอาจกระทบกับรายได้ที่น่าจะรับรู้ล่าช้าบ้าง แต่บริษัทก็ยังมีกระแสเงินสดในมือที่แข็งแกร่ง ราว 100 ล้านบาท และเงินที่จะได้รับจากการเสนอขายหุ้นให้กับประชาชนทั่วไปครั้งแรก (IPO) อีก 100 ล้านบาท และยังมีวงเงินสินเชื่อต่าง ๆ อีก 158 ล้านบาท ทำให้รองรับกับค่าใช้จ่ายได้ถึง 1 ปี
นายชัยณรงค์ กล่าวว่า ด้านเงินที่ได้จากการระดมทุนในครั้งนี้ ส่วนหนึ่งบริษัทจะนำไปใช้เพื่อเป็นลงทุนในระบบคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์ และซอฟต์แวร์ สำหรับเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานและการให้บริการ และเพื่อเป็นเงินทุนหมุนเวียนสำหรับรองรับการรับงานที่เพิ่มขึ้นในอนาคต โดยเฉพาะโครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ของภาครัฐ (เมกะโปรเจกต์) ในหลายโครงการ ทั้งในส่วนต่อขยายรถไฟฟ้าสาย โครงการพัฒนาสนามบิน และโครงการรถไฟความเร็วสูงในหลายเส้นทาง รวมถึงคลังน้ำมันและถังเก็บน้ำมัน ซึ่งจะทำให้บริษัทสามารถรับงานเหล่านี้ได้มากขึ้น เนื่องจากกลุ่มลูกค้าของบริษัท มีทั้งภาครัฐและเอกชน
"เรามีความมั่นใจใน long term การที่เราเข้ามาเทรดในตลาด เราเตรียมตัวมาหลายปี และเรามองว่าในอนาคตข้างหน้าถ้าเราไม่ปรับตัวตั้งแต่ตอนนี้ หรือเป็นบริษัทมหาชน เราจะแข่งขันในอนาคตไม่ได้ อีกทั้งเราไม่เคยโดนแบล็กลิส หรือส่งงานล่าช้า เราได้งานระบบขนส่งในประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง"นายชัยณรงค์ กล่าว
ด้านนายสมภพ ศักดิ์พันธ์พนม ประธานกรรมการ บริษัท แอสเซท โปร แมเนจเม้นท์ จำกัด (APM) ในฐานะที่ปรึกษาทางการงิน ของ IND คาดว่า หุ้น IND ที่จะเข้าซื้อขายวันแรกใน mai วันพรุ่งนี้ คาดว่าจะได้รับความสนใจจากนักลงทุนเป็นอย่างดี จากปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่ง และความเชี่ยวชาญในงานด้านวิศวกรรมที่ปรึกษามามากกว่า 37 ปี ตอกย้ำถึงประสิทธิภาพในการทำงาน และความไว้วางใจจากลูกค้าที่มีต่อบริษัท ส่งผลให้หุ้น IND มีความน่าเชื่อถือและน่าจะสร้างผลตอบแทนที่ดีในระยะยาวให้กับผู้ถือหุ้นได้
นายสมภพ กีระสุนทรพงษ์ กรรมการผู้อำนวยการ บล.ฟินันเซีย ไซรัส ในฐานะผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายหุ้นสามัญเพิ่มทุนของ IND กล่าวว่า หุ้น IND เป็นหุ้นที่มีความสนใจและราคาหุ้นที่เสนอขาย IPO ที่ระดับ 1.10 บาท/หุ้น ถือว่ามีความเหมาะสม ประกอบกับศักยภาพการขยายตัวทางธุรกิจเพื่อรองรับงานในอนาคต จากความสามารถในการรับงานและผลงานที่ผ่านมาของบริษัท ซึ่งการเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ทำให้บริษัทจะเข้าถึงแหล่งเงินทุนและสามารถนำเงินที่ได้จากการระดมทุนมาต่อยอดธุรกิจให้เติบโตได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
"คาดว่าหุ้น IND ได้รับการตอบรับที่ดีจากนักลงทุน จากศักยภาพการทำงานของบริษัทและเป็นหุ้นที่อยู่ในธุรกิจที่สามารถเติบโตตามการขยายการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานของประเทศได้ จึงทำให้หุ้น IND มีความน่าสนใจไม่น้อย ทั้งนี้ บริษัทมีนโยบายการจ่ายเงินปันผลให้ผู้ถือหุ้นในอัตราไม่น้อยกว่า 40% ของกำไรสุทธิ"นายสมภพ กล่าว