นายธงชัย บุศราพันธ์ ประธานกรรมการ และประธานเจ้าหน้าที่บริหารร่วม บมจ.โนเบิล ดีเวลลอปเมนท์ (NOBLE) เปิดเผยว่า บริษัทตั้งเป้าหมายยอดขายในปี 64 เติบโต 146% มาที่ 1.6 หมื่นล้านบาท จากปี 63 ที่คาดว่าทำได้ 6.5 พันล้านบาท
ปัจจัยสนับสนุนการเติบโตของยอดขายจะมาจากการรุกเปิดโครงการมากถึง 11 โครงการในปีหน้า ทั้งคอนโดมิเนียมและแนวราบ มูลค่าโครงการรวม 4.5 หมื่นล้านบาท แบ่งเป็น คอนโดมิเนียม 7 โครงการ ในทำเลทองหล่อ บางนา วิทยุ ดอนเมือง อารีย์ซอย 1 คูคตและพระราม 9 ส่วนโครงการแนวราบ 4 โครงการ ทำเลดอนเมือง เอกมัย-รามอินทรา 2 เฟส และสุขสวัสดิ์
การเปิดโครงการใหม่จะเป็นการร่วมทุนกับพันธมิตรหลัก 2 ราย คือ ฮ่องกงแลนด์ และ บมจ.ยู ซิตี้ (U) ในเครือบมจ.บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ (BTS) โดยโครงการร่วมทุนกับฮ่องกงแลนด์อยู่ในทำเลถนนวิทยุ มูลค่า 1.07 หมื่นล้านบาท ซึ่งบริษัทถือหุ้น 26% จะเปิดขายในช่วงไตรมาส 2/64
ส่วนการร่วมทุนกับ U ได้เซ็นสัญญาไปแล้ว 4 โครงการได้แก่ ทำเลสุขสวัสดิ์ ที่จะพัฒนาเป็นโครงการแนวราบและคอนโดมิเนียม มูลค่า 2.6 พันล้านบาท ทำเลคูคต ติดรถไฟฟ้าสถานีคูคต เป็นโครงการขนาดใหญ่ทั้งหมด 6,000 ยูนิต ทั้งหมด 5 เฟส มูลค่ารวม 1 หมื่นล้านบาท ทำเลพระราม 9 มูลค่า 5.9 พันล้านบาท และทำเลราษฎร์บูรณะ ทั้งคอนโดมิเนียมและแนวราบ มูลค่ารวม 4.5 พันล้านบาท
นอกจากนั้นยังมีแผนการพัฒนาที่ดินในโครงการธนาซิตี้ร่วมกับกลุ่มสหพัฒน์และ BTS ซึ่งอยู่ระหว่างการออกแบบโครงการ
นายธงชัย กล่าวอีกว่า บริษัทตั้งเป้ารายได้ปี 64 เติบโต 10% มาที่ 1.1 หมื่นล้านบาท จากปี 63 ที่มั่นใจว่าจะมีรายได้ตามเป้าหมาย 1 หมื่นล้านบาท โดยส่วนหนึ่งจะมาจากการรับรู้รายได้จากมูลค่ายอดขายรอโอน (Backlog) เข้ามาในปีหน้าราว 6 พันล้านบาท จาก Backlog ที่มีอยู่ทั้งหมด 1.5 หมื่นล้านบาท อีกทั้งจะมาจากการระบายสต็อกอย่างต่อเนื่องจากปัจจุบันที่มีอยู่กว่า 1.5 หมื่นล้านบาท
ขณะที่การเปิดโครงการแนวราบใหม่ในปีหน้าทั้งทาวน์เฮาส์ บ้านแฝด และบ้านเดี่ยว จะทำให้บริษัทสามารถรับรู้รายได้เข้ามาได้ทันที เพราะปกติโครงการแนวราบจะใช้ระยะเวลา 6 เดือนในการรับรู้รายได้
นอกจากนั้น บริษัทมีการขายสินทรัพย์ที่เป็นรายประจำออกไป คือโครงการ NOBLE REMIX ซึ่งอยู่ระหว่างการเจรจากับกองทุนที่สนใจซื้อ และอาจจะมีการขายที่ดิน 2-3 แปลงที่ยังไม่มีแผนพัฒนาโครงการออกไปในปีหน้าด้วย
"การที่เราขายโครงการที่เป็น recurring income ออกไป เพราะเราต้องการหันมาโฟกัสในส่วนของธุรกิจซื้อมาขายไปที่มีมาร์จิ้นที่สูงกว่า ทำให้เราสามารถรักษาระดับ Net Profit Margin ได้ 15% ต่อปี ซึ่งธุรกิจพัฒนาโครงการและขายไปนั้นมีมาร์จิ้นที่สูงกว่าธุรกิจให้เช่าที่มีมาร์จิ้น 2-3% ต่อปี"นายธงชัย กล่าว
ด้านงบลงทุนของบริษัทในปี 64 ได้วางไว้ 9 พันล้านบาท แบ่งเป็น งบซื้อที่ดิน 1 พันล้านบาท งบลงทุนก่อสร้าง 4-5 พันล้านบาท และงบรองรับการลงทุนอื่นๆ และชำระค่าหุ้นในส่วนที่บริษัทลงทุนในธุรกิจบริหารจัดการสินทรัพย์ (AMC ) ที่ 3-4 พันล้านบาท โดยในช่วงปลายเดือน ม.ค.64 บริษัทจะชำระเงินในสัดส่วนที่บริษัทลงทุน 20% ร่วมกับ บมจ.ศรีสวัสดิ์ คอร์ปอเรชั่น (SAWAD) ซึ่งจะเป็นหนึ่งธุรกิจที่สร้างโอกาสการเติบโตและการเข้าถึงสินทรัพย์ที่มีคุณภาพให้กับบริษัทได้มากขึ้น
ทั้งนี้ บริษัทตั้งเป้าผลักดันธุรกิจภายในปี 66 ขึ้นเป็น Top 5 ด้านรายได้ในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ โดยจะมีรายได้แตะ 1.5-2 หมื่นล้านบาท และผลักดันหุ้นของบริษัทเข้าไปติดใน SET100 และ SET50 ตามลำดับ