(เพิ่มเติม) "ฮาริสัน"เล็งเข้าตลาดหุ้นปี 51/เสนอขายอสังหาฯระดับหรูในแคนาดา

ข่าวหุ้น-การเงิน Tuesday September 4, 2007 12:39 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

          นายกิตติศักดิ์ จำปาทิพย์พงศ์ รองประธานกรรมการบริหาร บมจ.ฮาริสัน เปิดเผยว่า ขณะนี้บริษัทอยู่ระหว่างการพิจารณาแนวทางการเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย โดยคาดว่ามีความเป็นไปได้ที่จะดำเนินการในปีหน้า 
ในระหว่างนี้บริษัทคงต้องมีการจัดโครงสร้างให้ชัดเจนก่อน เนื่องจาก บริษัท ฮาริสัน และ บริษัท อาไรออน ซึ่งเป็นบริษัทลูกมีการทำธุรกิจที่เป็นผลประโยชน์ทับซ้อนกันอยู่
ปัจจุบัน"ฮาริสัน"มีทุนจดทะเบียน 250 ล้านบาท และมีแผนจะเพิ่มทุนจดทะเบียนเป็น 300 ล้านบาท โดยดำเนินธุรกิจบริหารการตลาดและการขายอสังหาริมทรัพย์ทั้งในและต่างประเทศ
นายกิติศักดิ์ กล่าวว่า ในระหว่างวันที่ 8-9 กันยายน 2550 บริษัทฯ จะจัดกิจกรรมทางการตลาดด้วยการนำโครงการคอนโดมิเนียม The Residence at The Ritz-Carlton, Toronto ซึ่งเป็นโรงแรมและคอนโดมิเนียมระดับหรูจากประเทศแคนาดา เข้ามาทำการตลาดในประเทศไทย มุ่งเน้นจับกลุ่มเป้าหมายชาวไทยและชาวต่างชาติที่ต้องการซื้อที่พักอาศัยในแคนาดา
โครงการดังกล่าวตั้งอยู่ที่เมืองโตรอนโต ประเทศแคนาดา ตัวอาคารสูง 52 ชั้น แบ่งออกเป็นโซนโรงแรม และที่พักอาศัย โดยในส่วนของที่พักอาศัยจะประกอบด้วย ห้องพักขนาด 118 ตารางเมตร ไปจนถึงห้องพักขนาด 1,000 ตารางเมตร ราคาขายเริ่มต้นที่ยูนิตละ 40 ล้านบาท
รูปแบบโครงการนี้ถือว่าเหมาะกับผู้ที่ต้องการที่พักอาศัยอย่างแท้จริง และยังเหมาะกับผู้ที่ต้องการจะลงทุนระยะยาวในประเทศแคนาดาด้วย เนื่องจากในปัจจุบันธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในแคนาดาอยู่ในช่วงที่มีการเติบโตอย่างรวดเร็ว
"รับมาขาย 20 ยูนิต โดยคาดหวังว่าจะขายโครงการดังกล่าวได้ราว 2-3 ยูนิต" นายกิตติศักดิ์ กล่าว
นายกิติศักดิ์ กล่าวว่า ปัจจุบันนโยบายของบริษัทฯ หันมาให้ความสำคัญกับการทำตลาดในต่างประเทศเพิ่มมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการนำโครงการในประเทศไปทำตลาดต่างประเทศ ทั้งในเอเชียและยุโรป
ขณะเดียวกันหากโครงการในต่างประเทศใดมีศักยภาพมีแนวโน้มการเติบโตที่ดี บริษัทฯ ก็จะพิจารณานำเข้ามาเสนอเป็นทางเลือกให้กับนักลงทุนในประเทศไทยที่ต้องการลงทุนในรูปแบบใหม่ ๆ ซึ่งแคนาดาในปัจจุบันถือว่าเป็นตลาดที่กำลังได้รับความนิยมทั้งในด้านการซื้อขายและการให้เช่า ที่มีแนวโน้มผลตอบแทนด้านการลงทุนสูงขึ้นมาตลอด 2-3 ปีที่ผ่านมา
โครงการที่ทางบริษัทฯ นำมาเสนอถือเป็นโครงการที่มีศักยภาพ และเป็นโครงการสุดหรูโครงการหนึ่ง สามารถซื้อเพื่อการพักผ่อน อยู่อาศัย รวมถึงซื้อไว้เพื่อการลงทุนในอนาคตได้เช่นกัน ซึ่งในครึ่งปีหลังบริษัทจะเน้นเจาะตลาดต่างประเทศมากขึ้น ทั้งอังกฤษ ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์ โดยคาดว่าจะมีราคาขายเฉลี่ย 70-80 ล้านบาท/ยูนิต เนื่องจากมีความต้องการสูง
ขณะเดียวกันก็จะนำโครงการอสังหาริมทรัพย์ในไทยไปขายต่างประเทศ ซึ่งช่วง 6 เดือนแรกของปีนี้มียอดขายแล้ว 800 ล้านบาทและชาวต่างชาติส่วนใหญ่ที่ซื้อเป็นคนสิงคโปร์ประมาณ 50% เพราะคุ้นเคยกับประเทศไทย ประกอบกับ ราคาคอนโดมิเนียมในไทยยังมีราคาถูก ซึ่งโครงการส่วนใหญ่ที่ขายดีมีราคาเฉลี่ยในระดับ 1.8-2.5 ล้านบาท

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ