PDI ไร้แรงกดดันให้ต้องขายล่วงหน้าปี 51/คาด Q3 ประคองกำไรทรงตัวจาก Q2

ข่าวหุ้น-การเงิน Tuesday September 25, 2007 10:02 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

          บมจ.ผาแดงอินดัสทรี(PDI)เผยขณะนี้ไร้แรงกดดันให้ต้องทำสัญญาขายล่วงหน้าในปี 51 เนื่องจากกระแสเงินสดยังคล่องตัว ส่วนปีนี้ช่วง 4 เดือนที่เหลือต้องส่งมอบตามสัญญาขายล่วงหน้าอีกแค่ 4 พันตัน คาดผลประกอบการไตรมาส 3/50 ใกล้เคียงไตรมาส 2/50 ทั้งปีนี้ปริมาณขายราว 9.5 หมื่นตัน ก่อนจะเพิ่มเป็นประมาณ 1 แสนตันในปี 51
นางวรทิพย์ ฤกษ์พิบูลย์ ผู้จัดการส่วนอาวุโสการเงินและนักลงทุนสัมพันธ์ บมจ.ผาแดงอินดัสทรี(PDI)เปิดเผยกับ"อินโฟเควสท์"ว่า ขณะนี้บริษัทยังไม่ได้กำหนดนโยบายขายล่วงหน้าในส่วนของปี 51 ทั้ง ๆ ที่ตามปกติทุกปีจะต้องได้ข้อสรุปแล้ว แต่เนื่องจากปีนี้บริษัทไม่มีแรงกดดันที่จะต้องรีบ เพราะกระแสเงินสดยังคล่องตัว ขณะที่ปัจจุบันเหลือสังกะสีที่รอส่งมอบตามสัญญาขายล่วงหน้าเพียง 4 พันตัน
"ณ ระดับราคาสังกะสี ณ ตอนนี้เราไม่ได้มีปัญหาเรื่อง cash flow ดังนั้นทางคณะกรรมการจึงยังไม่มีนโยบายที่จะทำเฮจด์เพิ่ม จึงยังไม่จำเป็นต้องขายล่วงหน้า"นางวรทิพย์ กล่าว
อย่างไรก็ตาม ขึ้นอยู่กับคณะกรรมการบริษัทที่จะต้องตัดสินใจ เพราะเป็นนโยบายด้านกลยุทธ์ที่ต้องดูว่าระดับราคาตรงไหนที่ Comfortable และจะสามารถขายราคาตลาด(spot)ทั้ง 100% เป็นไปได้หรือไม่
"ถ้าเราไม่ทำเฮจด์เลย เราก็ต้องไปรับความเสี่ยงในอนาคตเอาเอง ซึ่งขึ้นอยู่กับราคา spot ณ ตอนนั้นว่าแต่ละเดือนขึ้นลงขนาดไหน เนื่องจากเราไม่ได้ล็อกล่วงหน้า ก็เหมือนกับพวกที่ทำ Hedging อัตราแลกเปลี่ยน"นางวรทิพย์ กล่าว
*ผลประกอบการ Q3/50 ประคองตัวแม้ภาวะโดยรวมไม่เอื้อ
นางวรทิพย์ คาดว่าผลประกอบการไตรมาส 3/50 ยังน่าจะออกมาใกล้เคียงกับไตรมาส 2/50 แม้ว่าราคาสังกะสีปรับลดลงจากไตรมาสก่อน และเป็นช่วงโลว์ซีซั่นของทุกปี เพราะเป็นช่วงฤดูฝน ประกอบกับเศรษฐกิจโดยรวมยังมีภาวะการชะลอตัว แต่เนื่องจากมีการขายถ่านหินในราคา spot มากกว่าไตรมาสก่อน ทำให้บริษัทได้ประโยชน์มากขึ้น
"ราคาขายเป็น effect ของราคาสังกะสีทันที ถ้าราคาขายที่ 4,000 เหรียญ ยอดขายก็จะได้ 4,000 เหรียญ ถ้าราคาลงมา 2,000 เหรียญ เราก็จะได้ 2,000 เหรียญ ส่วนไตรมาส 3 กำไรจะเท่าไตรมาส 2 หรือไม่นั้น ก็ต้องขึ้นอยู่กับราคาสังกะสีซึ่งต้องรออีก 1 เดือน"นางวรทิพย์ กล่าว
ราคาสังกะสีช่วงต้นไตรมาส 3/50 ปรับลดลง โดยล่าสุดในเดือน ก.ย.ปรับตัวลดลงไปที่ 2,879 เหรียญ/ตัน จากเดือนส.ค.เฉลี่ยอยู่ที่ 3,200 เหรียญ/ตัน และไตรมาส 2/50 เฉลี่ยอยู่ที่ 3,300 เหรียญ/ตัน อย่างไรก็ตาม ราคาถัวเฉลี่ยไตรมาส 3/50 จะต้องดูเดือนต.ค.อีก 1 เดือน เพราะตอนนี้ราคาค่อนข้างสวิงมาก
ทั้งนี้ นักวิเคราะห์จากบล.เอเชียพลัส มองว่า แม้ไตรมาสที่ 3/50 จะเป็นช่วงที่ PDI มีปริมาณขายต่ำสุด แต่จะเริ่มได้รับผลดีจากราคาสังกะสีที่ยังทรงตัวอยู่ในระดับสูง ขณะที่สัญญาขายล่วงหน้าในไตรมาสนี้ลดลงเหลือ 2 พันกว่าตัน จาก 7 พันกว่าตัน ทำให้ราคาขายสะท้อนราคาตลาดมากขึ้น
*"เฮดจ์ฟันด์"ปัจจัยกำหนดแนวโน้มราคาสังกะสี
นางวรทิพย์ กล่าวว่า ขณะนี้ยังไม่สามารถคาดการณ์ได้ว่าช่วงที่เหลือของปีนี้ราคาสังกะสีจะมีโอกาสสวิงกลับขึ้นไปหรือไม่ ขึ้นกับเหตุการณ์ที่จะมากระทบกับซัพพลายและดีมานด์ในตลาด รวมทั้งการเก็งกำไรของบรรดาเฮดจ์ฟันด์ เนื่องจากสังกะสีเป็นสินค้าโลหะที่เทรดกันในตลาด Commodity ซึ่งขณะนี้กลุ่มเฮดจ์ฟันด์เป็นกลุ่มหนึ่งที่ได้รับผลกระทบจากปัญหาซับไพร์ม
"เขาไปลงทุนทั้งพลังงาน commodity และทองคำ ทั้งหลายพอเค้ามีปัญหาก็ต้องดึงเงินกลับ พอดึงเงินกลับก็อาจจะต้องขายทิ้ง มีการปรับพอร์ตเพราะต้องการถือ cash ก็ต้องเอา cash ออกมา ดูอันไหนที่พอมีกำไรก็อาจจะขาย"
อย่างไรก็ตาม หากมองในแง่ดีมานด์-ซัพพลาย ความต้องการสังกะสีโลกขึ้นอยู่กับประเทศจีนเป็นหลัก โดยขณะนี้ดีมานด์ในจีนยังค่อนข้างดีแต่ซัพพลายก็เพิ่มขึ้นด้วยจึงทำให้ราคาไม่ไปสูงมาก ส่วนตลาดสหรัฐซึ่งเป็นตลาดใหญ่ก็กำลังประสบกับภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว
"ซัพพลายเพิ่มขึ้นในขณะที่ดีมานด์ยัง growth อยู่ จากเมื่อก่อนดีมานด์ growth เยอะของจีนเกือบ 10% ก็จะทำให้ดีมานด์มากซัพพลายตามไม่ทัน แต่ช่วงปีนี้ถึงปี 51-52 พวกโบรกเกอร์ทั้งหลายก็จะมองว่าซัพพลายจะเพิ่มขึ้นซึ่งก็จะทำให้ gap ระหว่างดีมานด์กับซัพพลายจะลดลง"
ทั้งนี้ ราคาสังกะสีในตลาดลอนดอนล่าสุด (21 ก.ย.)อยู่ที่ 2,879 ดอลลาร์/ตัน ลดลง 25 ดอลลาร์/ตัน
*คาดปริมาณขายปีหน้าเพิ่มเป็น 1 แสนตันจาก 9.5 หมื่นตันปีนี้
นางวรทิพย์ กล่าวว่า บริษัทประเมินว่าปีนี้ปริมาณขายสังกะสีน่าจะใกล้เคียงกับปีที่แล้วที่ 9.5 หมื่นตัน โดยมีการทำสัญญาขายล่วงหน้าประมาณ 20,000 ตันที่ราคา 1,600 กว่าเหรียญสหรัฐ/ตันและในปีหน้าคาดว่าปริมาณขายจะอยู่ที่ราว 1 แสนตัน
จากกำลังผลิตปัจจุบันที่ 105,000 ตันต่อปี
ในปีนี้บริษัทได้ลดปริมาณการผลิตลงเล็กน้อยจากปกติที่ผลิตเต็มที่ เนื่องจากในช่วงที่ผ่านมามีปัญหาขาดแคลนวัตถุดิบ ซึ่งจะเห็นได้จากราคาสังกะสีในตลาดโลกวิ่งขึ้นไปสูง โดยเน้นการผลิตเพื่อรองรับความต้องการภายในประเทศเป็นหลักเช่นเดียวกับปีก่อน ขณะที่ส่งออกน้อยมาก ทำให้บริษัทยังมีช่องทางที่จะขยายการส่งออกได้หากตลาดในประเทศชะลอตัวลงไปมาก
"แร่สังกะสีช็อต ราคาถึงได้พุ่งขึ้นไป ขาดตลาดทำให้ราคาแพง ดังนั้นเราก็ลด production ลง และเสิร์ฟดีมานด์ในประเทศเราก็ไม่ได้หวังที่จะไปส่งออกมาก เพราะปกติที่ผลิตส่วนหนึ่งจะส่งออก แต่ปีนี้และปีที่แล้วเน้นตลาดในประเทศ ปีนี้ไม่มีแผนที่จะส่งออกเลยนอกจากตลาดในประเทศชะลอตัวเราก็มีตลาดที่จะส่งออกเพื่อรองรับตรงนี้"
ปัจจุบันบริษัทนำเข้าวัตถุดิบจากต่างประเทศมาส่วนหนึ่ง โดยในปีนี้นำเข้ามาในสัดส่วน 60% ผลิตจากเหมือง 40% ปรับจากที่ผ่านมาที่อยู่ในระดับ 50:50% เนื่องจากการผลิตในเหมืองได้น้อยลง
ขณะนี้บริษัทอยู่ระหว่างยื่นขอต่ออายุสัมปทานเหมืองแม่สอด จ.ตาก ที่จะสิ้นสุดในต.ค.นี้ โดยมั่นใจว่าจะได้รับการต่ออายุไปอีก 15 ปีภายในปีนี้ ซึ่งจะทยอยจ่ายผลประโยชน์ให้กับรัฐในรูปแบบค่าภาคหลวง ส่วนสัมปทานสำรวจแร่ที่เมืองกาสี ประเทศลาว เริ่มทำการสำรวจไปเมื่อปลายปีก่อน คาดว่าจะต้องใช้เวลาราว 3-4 ปีในการสำรวจในพื้นที่ประมาณ 800 ตารางเมตร และจะรู้ผลสำรวจเบื้องต้นอีก 2 ปี

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ