(เพิ่มเติม) ภาวะตลาดหุ้นนิวยอร์ก: คาดศก.ฟื้นหลังเฟดลดดบ. ดันดาวโจนส์พุ่ง 76.17 จุด

ข่าวหุ้น-การเงิน Thursday September 20, 2007 06:38 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

          ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดพุ่งขึ้นเมื่อคืนนี้ (19 ก.ย.) เนื่องจากนักลงทุนยังคงขานรับการตัดสินใจของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ที่ปรับลดอัตราดอกเบี้ยมากกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ นอกจากนี้ นักลงทุนยังเชื่อมั่นว่าการปรับลดดอกเบี้ยครั้งนี้จะช่วยกระตุ้นผลประกอบการของบริษัทเอกชนและภาคเศรษฐกิจโดยรวมของสหรัฐ
สำนักข่าวเอพีรายงานว่า ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์พุ่งขึ้น 76.17 จุด หรือ 0.55% ปิดที่ 13,815.56 จุด ขณะที่ดัชนี S&P 500 เพิ่มขึ้น 9.25 จุด หรือ 0.61% ปิดที่ 1,529.03 จุด และ ดัชนี Nasdaq ดีดขึ้น 14.82 จุด หรือ 0.56% ปิดที่ 2,666.48 จุด
ปริมาณการซื้อขายในตลาดหุ้นนิวยอร์กมีอยู่ประมาณ 1.67 พันล้านหุ้น มีจำนวนหุ้นบวกมากกว่าหุ้นลบในอัตราส่วน 2 ต่อ 1 ส่วนปริมาณการซื้อขายในตลาด Nasdaq มีอยู่ประมาณ 2.21 พันล้านหุ้น
นายโจ เวทรี นักวิเคราะห์ด้านการซื้อขายและการลงทุนจากบริษัทชาล์ส ชเว็ปส์ แอนด์ โค กล่าวว่า "การที่ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดพุ่งขึ้นในแดนบวกติดต่อกัน 2 วันสะท้อนให้เห็นว่า นักลงทุนขานรับการตัดสินใจลดอัตราดอกเบี้ยของเฟด นอกจากนี้ รายงานตัวเลขเงินฟ้อที่ปรับตัวลดลง ยังช่วยให้นักลงทุนคลายความกังวลเกี่ยวกับแนวโน้มเศรษฐกิจของสหรัฐ"
กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยว่า ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) เดือนส.ค.ปรับตัวลดลง 0.1% ขณะที่ดัชนี CPI พื้นฐานปรับตัวขึ้น 0.2% ขณะที่กระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่า ตัวเลขการเริ่มสร้างบ้านในเดือนส.ค.อยู่ ในอัตราต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนมิ.ย.1995
"การที่เฟดตัดสินใจลดอัตราดอกเบี้ยที่มากเกินความคาดหมายครั้งนี้ ถือเป็นการใช้ยาแรงและพุ่งเป้าสกัดกั้นการชะลอตัวทางเศรษฐกิจของสหรัฐโดยตรง ซึ่งไม่ใช่เพียงตลาดหุ้นนิวยอร์กเท่านั้นที่มีปฏิกริยาในด้านบวกต่อการตัดสินใจของเฟด แต่ยังรวมถึงตลาดหุ้นทั่วโลกด้วย" นายเวทรีกล่าว
อัตราผลตอบแทนพันธบัตรของสหรัฐร่วงลงอย่างรุนแรงเนื่องจากนักลงทุนย้ายฐานการไปลงทุนในตลาดหุ้นที่กำลังคึกคักอยู่ในเวลานี้ ขณะที่ราคาน้ำมันดิบพุ่งขึ้น 42 เซนต์ แตะระดับ 81.93 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ซึ่งช่วยหนุนหุ้นกลุ่มบริษัทน้ำมันพุ่งขึ้นด้วย
อย่างไรก็ตาม หุ้นมอร์แกน สแตนลีย์ ซึ่งเป็นวาณิชธนกิจรายใหญ่อันดับ 2 ของสหรัฐ ร่วงลง 2.2% หลังจากมอร์แกน สแตนลีย์เปิดเผยตัวเลขกำไรไตรมาส 3 ร่วงลง 17% เนื่องจากบริษัทได้ตัดบัญชีเงินกู้หนี้สูญเกือบ 1 พันล้านดอลลาร์ หลังจากเกิดวิกฤตการณ์ในตลาดสินเชื่อทั่วโลก

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ