นางอรฤดี ณ ระนอง ประธานอำนวยการ บมจ.ยูนิเวนเจอร์(UV)ระบุว่า ขณะนี้บริษัทมีเงินสดที่ได้จากการเพิ่มทุนและเงินสดเดิมที่พร้อมจะลงทุนพัฒนาอสังหาริมทรัพย์กว่า 1 พันล้านบาทในระยะ 1-2 ปีข้างหน้า โดยเน้นการลงทุนอสังหริมทรัพย์ที่ประสบปัญหาการดำเนินงานเป็นหลัก โดยขณะนี้อยู่ระหว่างศึกษาการเข้าซื้อสินทรัพย์ในกลุ่ม NPL และ NPA จำนวน 2-3 โครงการ มูลค่ารวมประมาณ 2 พันล้านบาท คาดว่าจะได้ข้อสรุปภายในสิ้นปีนี้
นางอรฤดี กล่าวว่า หากกลุ่มอเดลฟอส ซึ่งเป็นเป็นกลุ่มลงทุนใหม่ที่ถือหุ้นโดยนายปณต และนายฐาปน สิริวัฒนภักดี เข้ามาถือหุ้นในสัดส่วน 51.57% ตามแผนหลังการทำเสนอซื้อหลักทรัพย์(เทนเดอร์ออฟเฟอร์)สิ้นสุด 3 ต.ค.50 จะทำให้บริษัทมีศักยภาพในการลงทุนในโครงการต่างๆ มากขึ้น
โครงการที่ UV จะเข้าลงทุนจะเน้นโครงการทั้งแนวราบและแนวสูง โดยเน้นว่าจะต้องให้ผลตอบแทนจากการลงทุน (IRR) ไม่ต่ำกว่า 25% แต่บริษัทคงจะไม่เข้าลงทุนในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ระดับ Hi-end ที่ทางกลุ่ม ที.ซี.ซี. ลงทุนอยู่แล้ว และจะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับที่ดินของกลุ่มสิริวัฒนภักดี เนื่องจากจะบริหารแยกกันอย่างชัดเจน
"การถือหุ้นของกลุ่มอเดลฟอสที่จะเพิ่มเป็น 51% ไม่น่าจะมีปัญหาเนื่องจากมีผู้ถือหุ้นรายเดิมประมาณ 3 ราย พร้อมจะขายให้อยู่แล้ว แม้ว่าราคาที่กำหนดทำเทนเดอร์ อยู่ที่ 2.04 ต่ำว่าราคากระดานค่อนข้างมาก แต่ก็ไม่น่าจะมีปัญหา" นางอรฤดี กล่าว
นางอรฤดี กล่าวต่อว่า ในปีนี้ UV คงจะยังไม่มีการลงทุนใหม่ในโครงการอสังหาริมทรัพย์ มีเพียงยอดขายจากโครงการเดิมที่บริษัทฯลงทุนร่วมกับ บมจ. แอล. พี. เอ็น. ดิเวลลอปเมนท์ (LPN)ผ่านบริษัท แกรนด์ ยูนิตี้ ดิเวลล็อปเมนท์ จำกัด คือ โครงการพาร์ควิว วิภาวดี ประมาณ 400-500 ล้านบาท และโครงการ เดอะ นอร์ธเทิร์น ทาวน์ รังสิต ที่ร่วมกับ บมจ. ปริญสิริ (PRIN) ผ่าน บริษัท ปริญเวนเจอร์ จำกัด อีกประมาณ 900 ล้านบาท
อย่างไรก็ตาม บริษัทอยู่ระหว่างเตรียมเงินทุนเพื่อเข้าเพิ่มสัดส่วนในบริษัท แกรนด์ ยูนิตี้ ดิเวลล็อปเมนท์ จำกัด จากเดิมที่ถือประมาณ 33.33% เป็น 60% โดยซื้อจากผู้ถือหุ้นเดิม LPN แต่คาดว่าจะใช้เงินไม่มาก เนื่องจากแกรนด์ ยูนิตี้ฯมีทุนจดทะเบียนที่ 50 ล้านบาท
และยังต้องใช้เงินลงทุนเพื่อเข้าซื้อสินทรัพย์ในกลุ่ม NPL และ NPA ที่อยู่ระหว่างการศึกษาจำนวน 2-3 โครงการ มูลค่ารวมประมาณ 2 พันล้านบาท
นางอรฤดี กล่าวว่า มีแผนการลงทุนในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ใน 2-3 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 3 พันล้านบาท เพิ่มเข้ามาในปีหน้า
"จากแผนลงทุนในครึ่งหลังปีนี้-ต้นปี 51 เชื่อว่าจะทำให้บริษัททยอยรับรู้รายได้จากธุรกิจอสังหาฯ เพิ่มมากขึ้น และในปี 52 คาดว่าจะมีสัดส่วนการรับรู้รายได้จากอสังหาฯ กว่า 70%" นางอรฤดี กล่าว
บริษัทยังอยู่ระหว่างศึกษาโครงการขนาดใหญ่ที่จะลงทุนเอง เพื่อจะรับรู้รายได้ในระยะยาว จากเดิมที่บริษัทเน้นการรับรู้ในโครงการระยะสั้น โดยโอกาสของศักยภาพการลงทุนสามารถลงทุนโครงการที่มีขนาด 5-6 พันล้านบาทได้ เนื่องจากมีพันธมิตรเข้ามาทำให้ฐานทุนใหญ่ขึ้น และสามารถกู้เงินเพื่อมาลงทุนได้มากขึ้น และปัจจุบัน D/E ก็อยู่ในระดับต่ำมาก รวมถึงการศึกษาไปลงทุนต่างประเทศ เช่นที่ เวียดนามด้วย
ส่วนการจ่ายปันผลที่บริษัทมีนโยบายจ่ายปันผลในอัตรา 90% ของกำไรสุทธินั้น แต่ปีนี้การจ่ายปันผลคงไม่ถึงตามนโยบาย เนื่องจากบริษัทมีแผนการลงทุนค่อนข้างมาก และรายได้ยังคงใกล้เคียงกับปี 49 ที่ 1.55 พันล้านบาท โดยเป็นรายได้ส่วนใหญ่มาจากธุรกิจสังกะสีออกไซด์เป็นหลักประมาณ 80-90% ซึ่งอัตรากำไรขั้นต้นในธุรกิจนี้อยู่ที่ 15-16%
--อินโฟเควสท์ โดย สารภี สายะเวส/ศศิธร โทร.0-2253-5050 ต่อ 345 อีเมล์: sasithorn@infoquest.co.th--