นายอภิชาติ ผู้บรรเจิดกุล ผู้อำนวยการอาวุโส สายงานวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์ บล.ทิสโก้ เปิดเผยว่า แนวโน้มการเคลื่อนไหวของดัชนีหุ้นไทยปี 64 มีโอกาสฟื้นตัวจากปีที่แล้ว ประเมินดัชนีเหมาะสมที่ระดับ 1,450-1,590 จุด โดยในครึ่งปีหลังมีโอกาสสูงจะเหวี่ยงตัวขึ้นไปใกล้ระดับ 1,600 จุด หรือเทียบเท่าตอนสิ้นปี 62 ก่อนสถานการณ์โควิด-19
สำหรับการฟื้นตัวของตลาดหุ้นไทยมาจาก 3 ปัจจัยบวก ได้แก่ 1.การฟื้นตัวของตัวเลขเศรษฐกิจและกำไรของบริษัทจดทะเบียน (บจ.) โดยคาดว่าเศรษฐกิจไทยปีนี้จะกลับมาเติบโต 3.4% จากปีก่อนที่คาดว่าจะหดตัว 6.3% ซึ่งคาดว่าปีนี้กำไร บจ.จะฟื้นตัวแรง 34% จากปี 63 คาดว่าติดลบ 38% สาเหตุที่กำไรเพิ่มขึ้นแรงมาจากกลุ่มพลังงานและกลุ่มธนาคารพาณิชย์ ที่คิดเป็นครึ่งหนึ่งของกำไรตลาดโดยรวมจะเติบโต 79% และ 25% ตามลำดับ ขณะที่ปี 65 คาดกำไร บจ. โดยรวมจะเติบโตอีก 16% รับอานิสงส์เศรษฐกิจฟื้นตัวเต็มที่หลังมีวัคซีน โดยเฉพาะภาคการท่องเที่ยว
2. นโยบายการเงินยังคงอยู่ในระดับที่ผ่อนคลายมากเมื่อเทียบกับในอดีต ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ได้ปรับเป้าหมายนโยบายการเงินไปใช้อัตราเงินเฟ้อเฉลี่ยที่ 2% ซึ่งจะทำให้เฟดสามารถผ่อนคลายนโยบายการเงินได้นานกว่าในอดีต ทั้งการคงดอกเบี้ยในระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ และการอัดฉีดสภาพคล่องอย่างต่อเนื่อง จากการประเมินคาดว่าเฟดจะอัดฉีดสภาพคล่องในปีนี้เพิ่มขึ้นอีกไม่ต่ำกว่า 1 ล้านล้านดอลลาร์ฯ
3. นโยบายด้านเศรษฐกิจของนายโจ ไบเดน ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐคนใหม่มีแผนการใช้จ่ายเงินจำนวนมากจะกดดันเงินดอลลาร์สหรัฐฯมีแนวโน้มอ่อนค่าลง เป็นผลดีต่อตลาดหุ้นและราคาสินค้าโภคภัณฑ์โดยรวม ขณะเดียวกันนโยบายต่างประเทศของไบเดนที่ประนีประนอมกว่านายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐ และคาดการณ์ข้างหน้าได้ง่ายกว่านายทรัมป์ ก็น่าจะเป็นผลดีต่อเศรษฐกิจโลก และช่วยลดความผันผวนของตลาดลงได้
ส่วนปีที่ผ่านมาดัชนีหุ้นไทยได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โควิด-19 ฉุดให้ดัชนีปรับลดลง 8% เคลื่อนไหวแย่กว่าตลาดหุ้นโลก (MSCI World Index) ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น 14%
อย่างไรก็ตาม นับตั้งแต่เกิดวิกฤติเศรษฐกิจโลกปี 51 เป็นต้นมา ค่าอัตราส่วนราคาต่อกำไรอนาคต (2Y Forward PER) ของตลาดหุ้นโลกซึ่งรวมถึงตลาดหุ้นไทย มีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้นมาโดยตลอด และปัจจุบันมีค่าอยู่ใกล้เคียงกันที่ประมาณ 16-17 เท่า เพราะเป็นผลพวงจากการใช้นโยบายการเงินแบบผ่อนคลายยาวนาน ทั้งการลดอัตราดอกเบี้ยลงจนถึงบางประเทศใช้อัตราดอกเบี้ยติดลบ และการอัดฉีดสภาพคล่องเข้าสู่ระบบเป็นจำนวนมหาศาลอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน เป็นการบีบบังคับให้เงินต้องแสวงหาผลตอบแทนด้วยการยอมรับความเสี่ยงที่สูงขึ้น (Search for Yield) อิงจากแนวโน้มค่า Forward PER ดังกล่าว และ กำไรต่อหุ้น (EPS) ของตลาดหุ้นไทยในปี 65
นายอภิชาติ กล่าวอีกว่า แนวโน้มกระแสเงินทุนไหลเข้า (Fund Flows) ปีนี้เป็นบวก แต่การเสนอขายหุ้นให้กับประชาชนทั่วไปครั้งแรก (IPO) ขนาดใหญ่ในช่วงปลายเดือน ม.ค.นี้ อาจทำให้ Fund Flows สะดุดและกดดันตลาดอ่อนตัวลงชั่วคราว จากสภาพคล่องบางส่วนที่ถูกดึงออกจากตลาดไปเพื่อจองหุ้นดังกล่าว
ทั้งนี้ จากการศึกษาทิศทาง Fund Flows ทั้งของนักลงทุนต่างชาติและนักลงทุนสถาบันในประเทศในช่วง 1-2 สัปดาห์ก่อนการจองซื้อหุ้น IPO ขนาดใหญ่ 3 ครั้งล่าสุด คือ บมจ.แอสเสท เวิรด์ คอร์ป (AWC) , บมจ.เซ็นทรัล รีเทล คอร์ปอเรชั่น (CRC) และบมจ.เอสซีจี แพคเกจจิ้ง (SCGP) ซึ่งทำให้กระแสเงินทุนไหลเข้าตลาดหุ้นติดลบ ขณะที่ความเคลื่อนไหว SET Index ในช่วง 2-4 สัปดาห์ก่อนหุ้น IPO ขนาดใหญ่จะเริ่มเข้ามาซื้อขายในตลาด มีโอกาสสูงถึง 83% ที่ SET Index จะปรับตัวลง โดยให้ผลตอบแทนติดลบเฉลี่ย 2-3%
ประเด็นหุ้นที่น่าสนใจ แนะนำให้เลือกลงทุนในหุ้นวัฏจักร (Cyclical Stocks) ที่น่าจะได้ประโยชน์จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ และแนะนำหาจังหวะสะสมหุ้นปันผล เนื่องจากภาวะอัตราดอกเบี้ยยังอยู่ในระดับต่ำอีกนาน โดยหุ้นเด่นในเดือน ม.ค.ที่แนะนำ คือ HMPRO, INTUCH, KKP, MTC, SCC, SFLEX, TPIPL และ TVO
หุ้นเด่นน่าลงทุนในปี 64 มีการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย หลังมีราคาหุ้นบางตัว เช่น AEONTS ราคาได้ปรับตัวขึ้นถึงเป้าหมายแล้ว ดังนั้น บล.ทิสโก้จึงเลือกหุ้นแนะนำเป็น BAM, BBL, BDMS, MTC, PTTGC, TWPC และ WHA ด้านแนวรับสำคัญของเดือน ม.ค.64 อยู่ที่ 1,440 จุด แนวรับถัดไปอยู่ที่ 1,400-1,390 จุด ขณะที่แนวต้านสำคัญอยู่ที่ 1,500-1,515 จุด และมีแนวต้านถัดไปที่ 1,540-1,550 จุด ตามลำดับ