นายประเสริฐ บุญสัมพันธ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.ปตท.(PTT)คาดว่า ศาลปกครองสูงสุดจะสามารถตัดสินคดีที่มูลนิธิเพื่อผู้บริโภคฟ้องร้องให้เพิกถอนการแปรรูปองค์กรปตท.ได้ไม่เกินปลาย ต.ค.นี้ เนื่องจากศาลปกครองจะปิดรับข้อมูลในการชี้แจงกรณีที่เกิดขึ้นอีกครั้งในวันที่ 28 ก.ย.นี้ และหลังจากนั้นศาลจะเข้าสู่กระบวนการพิจารณาตัดสิน
นอกจากนี้ ปตท.ยังอยู่ระหว่างการศึกษาการนำ บมจ.ไทยออยล์(TOP) เข้าควบรวมกับบริษัทใหม่ที่จะเกิดขึ้นจากการควบรวมบมจ.อะโรเมติกส์ (ประเทศไทย)(ATC)และบมจ.โรงกลั่นน้ำมันระยอง(RRC)เนื่องจากเป็นธุรกิจที่คล้ายคลึงกัน โดยขณะนี้อยู่ระหว่างศึกษาความเป็นไปได้ และประโยชน์จากการควบรวม
"หลังควบรวม ATC และ RRC แล้วมีแผนจะนำธุรกิจโรงกลั่น และปิโตรเคมีในเครืออย่าง TOP และ IRPC มาควบรวมเป็นบริษัทเดียวกัน เบื้องต้น TOP จะมีความพร้อมมากกว่า และหลังการควบรวม เชื่อว่าจะสร้างความแข็งแกร่งให้กับกลุ่มปตท. โดยเฉพาะธุรกิจโรงกลั่นและปิโตรเคมีที่จะมีอำนาจการต่อรองเพิ่มมากขึ้น และขนาดมาร์เก็ตแคปจะเพิ่มเป็นอันดับที่ 11 ของตลาดหุ้นไทย มูลค่าประมาณ 1.3-1.4 แสนล้านบาท และหลังจากการที่ผู้ถือหุ้นปตท.ในวันนี้มีมติเห็นด้วยก็เชื่อมั่นว่าจะไม่มีปัญหาในการควบรวมกิจการทั้ง 2 แห่งนี้" นายประเสริฐ กล่าว
*ขายหุ้นกู้ 5-8 พันลบ.ปลายปีทดแทนการออกหุ้นกู้ตปท.
นายพิชัย ชุณหวชิระ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ฝ่ายการเงินและบัญชีองค์กร PTT กล่าวว่า ปตท.ยังคงมีแผนออกหุ้นกู้ในประเทศวงเงินไม่เกิน 5-8 พันล้านบาท เชื่อว่านักลงทุนส่วนใหญ่จะให้ความสนใจหุ้นกู้ที่มีอายุ 3 และ 5 ปี ซึ่งให้อัตราดอกเบี้ยในระดับสูง โดยขณะนี้ยังอยู่ระหว่างรอดูภาวะตลาดและเวลาที่เหมาะสม จากแผนจะออกขายภายในสิ้นปีนี้
ส่วนแผนออกหุ้นกู้ในตลาดต่างประเทศ คงชะลอออกไปก่อนโดยไม่มีกำหนด เพื่อรอให้การแก้ปัญหาซับไพร์มคลี่คลายไปก่อน เนื่องจากปัจจุบันกองทุนที่ลงทุนในหุ้นกู้มีความระมัดระวังสูง โดยหันไปลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลที่มีความเสี่ยงต่ำ ให้อัตราดอกเบี้ยสูง ส่งผลให้หุ้นกู้เอกชนที่จะออกจะต้องเพิ่มอัตราดอกเบี้ย ทำให้ภาระต้นทุนสูงขึ้น จึงไม่เหมาะสมที่จะไประดมทุนในต่างประเทศในขณะนี้
*แตกพาร์ รอดูความเหมาะสมก่อนอย่างรอบคอบ
นายพิชัย กล่าวถึงกรณีที่มีความเห็นในเรื่องแตกพาร์ โดยส่วนตัวเห็นว่า ณ ราคาที่ยืนเหนือ 300 บาท เป็นราคาที่ไม่ได้อยู่ตลอด จึงต้องดูความเหมาะสม ประกอบกับการแตกพาร์น่าจะส่งผลให้ดีให้ราคาหุ้นเพิ่มขึ้นในระยะสั้นเท่านั้น และผู้ลงทุนรายใหญ่จะได้ประโยชน์ แต่รายย่อยจะเสียเปรียบ จึงต้องศึกษาให้ถี่ถ้วนเพื่อความรอบคอบ
นอกจากนี้ ในปีนี้บริษัทมีแผนจะโรดโชว์ครั้งใหญ่ในภูมิภาคเอเชีย โดยในวันที่ 17 ก.ย.จะไปโรดโชว์ที่ฮ่องกง และ หลังจากนั้นในช่วงสิ้นดือนนี้มีแผนจะไปโรดโชว์ที่สหรัฐฯ ซึ่งเป็นตลาดใหญ่อีกแห่ง
--อินโฟเควสท์ โดย สารภี สายะเวส/รัชดา/ศศิธร โทร.0-2253-5050 ต่อ 345 อีเมล์: sasithorn@infoquest.co.th--