เริ่มต้นกับการสรุปภาพรวมตลาดหุ้นไทยในสัปดาห์ที่แล้ว (4-8 ม.ค.) SET INDEX ปิดที่ระดับ 1,536.44 จุด เพิ่มขึ้น 6.01% จากสัปดาห์ก่อน โดยขานรับกับแรงซื้อหุ้นไซส์บิ๊กแคป ที่ส่วนใหญ่อยู่ในกลุ่มอุตสาหกรรมชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ กลุ่มการแพทย์ และกลุ่มสื่อสาร เป็นต้น
เข้าสู่สัปดาห์ที่สองของเดือนมกราคม แม้ว่าสถานการณ์ของการแพร่ระบาดเชื้อโควิด-19 ในระลอกใหม่จะสร้างความกังวลใจให้กับคนไทยเป็นอย่างมาก แต่เมื่อมาพิจารณาความเชื่อมั่นของผู้ลงทุนที่มีต่อตลาดหุ้นไทยกลับส่งสัญญาณเชิงบวก สะท้อนจากแรงซื้อในหุ้นไซส์บิ๊กแคปหลายบริษัท ผลักดันราคาให้ฟื้นตัวชี้นำดัชนีตลาดหุ้นไทยทะยานสู่จุดสูงสุดในรอบเกือบ 1 ปีได้อีกครั้ง
สำหรับปัจจัยบวกสนับสนุนความเชื่อมั่นผู้ลงทุนในรอบนี้ นักวิเคราะห์หลายสำนักมีมุมมองคล้ายกันคือการใช้มาตรการควบคุมการระบาดของรัฐบาลไม่ได้ล็อกดาวน์ทั้งประเทศ แต่ล็อกดาวน์เพียงบางพื้นที่ที่มีความเสี่ยงสูง ทำให้ภาพความเสียหายที่เกิดขึ้นต่อเศรษฐกิจค่อนข้างน้อยกว่าในช่วงแรกที่เกิดการระบาด
รวมถึงกระแสข่าวด้านบวกจากกรณีที่รัฐบาล เตรียมนำเข้าวัคซีนต้านเชื้อไวรัสโควิด-19 เข้ามาในไทยรอบแรกภายในเดือน ก.พ.นี้ นับว่าเร็วกว่ากำหนดเดิมคือราวเดือน พ.ค. ทำให้ผู้ลงทุนส่วนใหญ่คลายความกังวล และหันมาโฟกัสกับปัจจัยต่างประเทศ ที่จะมีผลต่อการไหลเข้าของเม็ดเงินฟันด์โฟลว์ในระยะถัดไป
โดยเฉพาะประเด็นด้านนโยบายของนายโจ ไบเดน ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐคนใหม่ ที่มีแผนเพิ่มภาษีเงินได้นิติบุคคลจากระดับ 21% เป็น 28% กระทบโดยตรงต่อกำไรบริษัทจดทะเบียนในสหรัฐ ขณะที่ล่าสุดตัวเลขการจ้างงานในสหรัฐกลับออกมาย่ำแย่กว่าที่ตลาดคาด ทำให้นักวิเคราะห์เริ่มคาดเดาและตั้งคำถามว่ามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของสหรัฐฯในรอบใหม่จะออกมาเร็วกว่าที่คาด และมีโอกาสเพิ่มวงเงินมากกว่าแผนเดิมเพื่อมาใช้กระตุ้นเศรษฐกิจในยุคของนายโจ ไบเดนหรือไม่
นายธวัชชัย อัศวพรไชย รองกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ เอเอสแอล ประเมิน SET INDEX ในรอบสัปดาห์นี้มีโอกาสทะยานขึ้นไปทดสอบ 1,550 จุด และนอกเหนือจากปัจจัยบวกต่างๆที่สนับสนุนความเชื่อมั่นแล้ว อีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่ต้องจับตาคือการรายงานผลประกอบการปิดงวดสิ้นปี 2563 นำร่องโดยกลุ่มธนาคารพาณิชย์ ที่จะมีอิทธิพลต่อบรรยากาศการลงทุนในช่วงปลายสัปดาห์นี้ต่อเนื่องไปถึงสัปดาห์หน้าด้วย
"ภายในสัปดาห์นี้เราน่าจะเห็นดัชนีวิ่งขึ้นไปแถว 1,550 จุดและอาจจะเจอกับแรงขายทำกำไร เพื่อรอติดตามกับงบกลุ่มแบงก์ที่จะประกาศกันตั้งแต่ปลายสัปดาห์นี้เป็นต้นไป ซึ่งตัวแปรที่นักเคราะห์ส่วนใหญ่เฝ้าจับตาคือการอัตราการจ่ายเงินปันผลในงวดสิ้นปี63 ว่าจะสามารถนำเงินปันผลในงวดครึ่งปีแรกที่ถูกสั่งให้งดจ่ายโดยแบงก์ชาติมารวมกับการจ่ายเงินปันผลงวดสิ้นปี63 ได้หรือไม่ถ้าหากปันผลในอัตราที่สูงกว่าคาดก็น่าจะเห็นการฟื้นตัวของกลุ่มแบงก์ได้ในระยะถัดไป"นายธวัชชัย กล่าว
ธนาคารกสิกรไทยประเมินกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทที่ 30.00-30.40 บาทต่อดอลลาร์ฯ แนะปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ สถานการณ์การระบาดของโควิด-19 ในประเทศและต่างประเทศ รวมถึงกระแสเงินลงทุนของนักลงทุนต่างชาติในตลาดการเงินไทย และความหวังต่อมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ส่วนตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯที่สำคัญ ได้แก่ ดัชนีราคาผู้บริโภค ดัชนีราคาผู้ผลิต ยอดค้าปลีก ผลผลิตภาคอุตสาหกรรมเดือนธ.ค. 63 ผลสำรวจกิจกรรมภาคการผลิตของเฟดสาขานิวยอร์ก และดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค (เบื้องต้น) สำหรับเดือนม.ค. 64 และรายงานสรุปภาวะเศรษฐกิจของธนาคารกลางสหรัฐ (Beige Book) นอกจากนี้ตลาดยังรอติดตามข้อมูลเศรษฐกิจเดือนธ.ค. 63 ของจีน อาทิ ดัชนีราคาผู้บริโภคดัชนีราคาผู้ผลิต ตัวเลขการส่งออกด้วยเช่นกัน
https://youtu.be/eVz_DetoE8c