นางประวีรัตน์ เทวอักษร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.วิลล่า คุณาลัย (KUN) เปิดเผยว่า แผนการลงทุนพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยแนวราบในทิศที่ 3 นั้น ล่าสุดมีความชัดเจนในการลงทุนมากขึ้น โดยจะลงทุนในทิศใต้ของกรุงเทพมหานคร (กทม.) ซึ่งปัจจุบันอยู่ระหว่างการดำเนินการต่าง ๆ และจะต้องเสนอต่อที่ผู้ถือหุ้นสามัญในช่วงเดือน เม.ย.64 เพื่อขออนุมัติต่อไป เบื้องต้นคาดว่าสามารถสรุปรายละเอียดได้ในช่วงไตรมาส 2/64
ส่วนโซนพื้นที่โครงการเดิมของบริษัทที่มีการพัฒนาอยู่แล้ว 2 ทิศรอบกรุงเทพฯ ได้แก่ ทิศตะวันตก คือในโซนพื้นที่บางบัวทอง และทิศตะวันออก คือในโซนจังหวัดฉะเชิงเทรา ซึ่งทั้ง 2 โซนดังกล่าวถือว่าประสบความสำเร็จ โดยในปี 63 บริษัทสามารถทำได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ โดยรายได้มีโอกาสแตะระดับ 800 ล้านบาท จาก 652.67 ล้านบาทในปี 62 หลังในช่วง 9 เดือนแรกของปี 63 มีรายได้รวมแล้ว 497.74 ล้านบาท
ขณะที่ช่วงไตรมาส 4/63 เป็นช่วงไฮซีซั่นของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ทั้งการโอนกรรมสิทธิ์และการขาย ทั้งนี้ การทำโปรโมชั่น ลด แลก แจก แถม ซึ่งเป็นปัจจัยหลักในการประกอบการตัดสินใจซื้อของผู้บริโภค ส่งผลให้ล่าสุดบริษัทมียอดขาย (Presale) รวมมูลค่ากว่า 300 ล้านบาท ส่วนเฉพาะเดือน ธ.ค.63 เพียงเดือนเดียว บริษัทมียอดขายเข้ามากว่า 130 ล้านบาท ทำให้บริษัทมีความสามารถในการทำยอดขายในช่วงโค้งสุดท้าย 63 ได้เกินกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้
ขณะเดียวกัน ปัจจุบันบริษัทมีโครงการบ้านพร้อมโอน (Inventory) มูลค่ารวมประมาณ 200 ล้านบาท และมียอดขายรอโอน (Backlog) ในมือมูลค่ารวมประมาณ 333 ล้านบาท ซึ่งจะทยอยส่งมอบและรับรู้เป็นรายได้ในปี 64 ทั้งหมด
"ปี 63 เป็นปีที่มีความท้าทายในการบริหารงานอย่างมาก บริษัทต้องปรับกลยุทธ์การตลาด ภายใต้วิถีชีวิตที่เปลี่ยนไป ทำให้เกิดแนวคิดการอยู่อาศัยในรูปแบบใหม่ ภายใต้ EVERYTHING AT HOME ทุกสิ่งเกิดขึ้นที่บ้าน เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคและรองรับกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น โดยชูจุดเด่นเรื่องของ space (พื้นที่ใช้สอย) ที่ให้ได้มากกว่า ทั้งในส่วนของพื้นที่ส่วนกลาง และพื้นที่ใช้สอยภายในบ้านที่เหนือคู่แข่ง ส่งผลให้ทุกโครงการของคุณาลัย ได้การตอบรับที่ดีและประสบความสำเร็จด้านยอดขายตลอดจนถึงปัจจุบัน"นางประวีรัตน์ กล่าว
นางประวีรัตน์ กล่าวอีกว่า แนวโน้มการแข่งขันในอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์แนวราบในปี 64 มีโอกาสรุนแรงขึ้น เนื่องจากความต้องการอสังหาริมทรัพย์แนวราบยังสูงและเป็นลูกค้าในกลุ่มที่มีกำลังซื้อที่อยู่อาศัยจริง (Real Demand) เป็นหลัก ส่งผลให้ผู้ประกอบการทั้งรายใหญ่ รายกลาง และรายเล็ก ยังให้ความสำคัญกับตลาดที่อยู่อาศัยในกลุ่มนี้อยู่ ดังนั้น เชื่อว่าหลังจากนี้จะเห็นการแย่งชิงส่วนแบ่งทางการตลาดมากขึ้น
อย่างไรก็ตาม บริษัทได้วางแผนเพื่อรับมือกับสถานการณ์ที่คาดว่าจะเกิดขึ้น โดยเน้นการศึกษากลยุทธ์คู่แข่งรายใหญ่ภายใต้กลยุทธ์ "เกาะปีกอินทรี" โดยนำพฤติกรรมผู้บริโภค รวมถึงกลยุทธ์ของคู่แข่งมาประเมินเพื่อปรับให้ตอบโจทย์กับความต้องการของผู้บริโภคให้มากที่สุด ขณะเดียวกันต้องเตรียมความพร้อมทั้งด้านสภาพคล่องที่ขณะนี้มีอยู่ 100 ล้านบาท รวมถึงแผนการใช้เครื่องมือทางการเงินที่จะสามารถรองรับแผนการพัฒนาโครงการในอีก 1-2 ปีข้างหน้า
พร้อมกันนี้บริษัทยังเตรียมสร้างเกราะป้องกัน"รักษาแชมป์ในโซนของตัวเอง"และไม่ให้คู่แข่งเข้ามาเจาะพื้นที่โซนยุทธศาสตร์หลักเขตพื้นที่บางบัวทอง และพื้นที่เขตปริมณฑลอื่นๆ โดยจะเน้นกลยุทธ์บริการลูกค้า ราคาขาย รวมถึงการพัฒนาโครงการใหม่ๆ เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคที่หลากหลายขึ้น