(เพิ่มเติม) ZMICO ยอมรับอนาคตหนีไม่พ้นควบรวม/ตั้งเป้ายกระดับดันมาร์เก็ตแชร์แตะ 5%

          บล.ซีมิโก้(ZMICO) ยอมรับในอนาคตคงหนีไม่พ้นต้องควบรวมกิจการกับบริษัทหลักทรัพย์อื่นเพื่อเสริมความแข็งแกร่ง แต่ตอนนี้ยังไม่มีแผนควบรวมกับรายใด โดยปฏิเสธกระแสข่าวที่จะเสนอขอมติที่ประชุมผู้ถือหุ้นในวันนี้เพื่อควบรวมกิจการกับบล.ไซรัส(SYRUS)ตามการผลักดันของนายชัชวาลย์ เจียรวนนท์ ประธาน SYRUS 
          "เรายังไม่ได้ตัดสินใจการควบรวม และในการประชุมผู้ถือหุ้นวันนี้ก็ไม่มีเรื่องการควบรวม แต่ผู้ถือหุ้นก็ถามเรื่องนี้ เราก็ตอบไปว่ายังไม่ตัดสินใจควบรวมกับใครในขณะนี้" นายชัยภัทร ศรีวิสารวาจา ประธานกรรมการบริหารและกรรมการผู้อำนวยการ  ZMICO กล่าวภายหลังการประชุมผู้ถือหุ้น
          อย่างไรก็ตาม นายชัยภัทร เห็นว่าจะเกิดการควบรวมกิจการของบริษัทหลักทรัพย์เกิดขึ้นหลายรายในช่วง 3-5 ปีข้างหน้าก่อนที่จะมีการเปิดเสรีค่านายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ เพราะหากมีการเปิดเสรีฯ จะทำให้การแข่งขันรุนแรงขึ้น และอาจส่งผลให้โบรกเกอร์บางรายไม่สามารถอยู่รอดได้ 
          แต่ขณะนี้ ZMICO คงยังไม่ตัดสินใจควบรวมกับรายใด เพราะกำลังให้ความสำคัญกับการขยายธุรกิจเพื่อการเติบโต โดยตั้งเป้าที่จะเป็นบริษัทหลักทรัพย์ขนาดใหญ่เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน จากปัจจุบันที่มีสถานะเป็นบริษัทระดับกลาง พร้อมมีเป้าหมายเพิ่มส่วนแบ่งตลาดการซื้อขายหลักทรัพย์(มาร์เก็ตแชร์)ให้เป็น 5% ในระยะ 12-18 เดือนข้างหน้า จากสิ้นปีนี้ที่คาดว่าจะอยู่ในระดับ 3-5% 
          นายชัยภัทร กล่าวว่า บริษัทมีแผนจะดึงตัวเจ้าหน้าที่การตลาด(มาร์เก็ตติ้ง)ทีมเดิมที่เคยทำงานกับบริษัทให้กลับมาร่วมงานอีกครั้ง พร้อมกับการรับเจ้าหน้าที่ใหม่เข้ามาตั้งทีมมาร์เก็ตติ้งใหม่ด้วย เพื่อเพิ่มมาร์เก็ตแชร์ให้ได้ตามเป้าหมาย
          นอกจากนั้น ยังมีแผนให้บริการลูกค้าในการขยายการลงทุนไปยังต่างประเทศ  ซึ่งขณะนี้ระบบของบริษัทก็มีความพร้อมรองรับการซื้อขายในลักษณะดังกล่าวแล้ว รอเพียงการอนุญาตจากทางการ โดยคาดว่าธุรกรรมดังกล่าวจะเห็นในในช่วง 12 เดือนข้างหน้า 
          นายชัยภัทร คาดว่า รายได้ของ ZMICO ในไตรมาส 3/50 จะออกมาดีกว่าไตรามาส 2/50 เนื่องจากมูลค่าการซื้อขายตลาดรวมในไตรมาส 3 ปรับสูงขึ้น อีกทั้งบริษัทได้มีการตัดธุรกิจที่ไม่สร้างรายได้ออกไปแล้วในช่วงไตรมาสก่อน  
          ด้านนายพินิจ พัวพันธ์ กรรมการผู้จัดการ ZMICO คาดว่า ปีนี้รายได้จากธุรกิจวาณิชธนกิจของบริษัทจะดีขึ้นกว่าปีก่อน แม้ว่าที่ผ่านมาทีมงานวาณิชธนกิจของบริษัทได้ลาออกและนำลูกค้าออกไปด้วย แต่ก็ไม่ได้ส่งผลกระทบในแง่รายได้มากนัก เพราะบริษัทหาดีลใหม่มารองรับและมีลูกค้าใหม่มาทดแทน
          ดังนั้น หากสถานการณ์และภาวะตลาดกลับมาฟื้นตัวได้ดี ก็น่าจะเห็นดีล IPO จำนวน 2-3 ดีลภายในปีนี้ โดยจะเป็นบริษัทในธุรกิจเคเบิลทีวี และ ธุรกิจเหล็ก ขนาดระดมทุนรายละ 500-700 ล้านบาท
          ในช่วงต่อไปบริษัทจะหันไปรับทำดีลขายหุ้น IPO ที่มีขนาดใหญ่มากขึ้นประมาณดีลละ 700-1,500 พันล้านบาท รวมถึงเป็นตัวแทนขายตราสารหนี้หรือหุ้นกู้ โดยขณะนี้มีบริษัทจดทะเบียน 1 รายที่คาดว่าจะพร้อมเสนอขายหุ้นกู้วงเงินประมาณ 3-4 พันล้านบาทในกลางปี 51 โดยดีลนี้บริษัทอาจจะต้องหาพันธมิตรมาร่วมเสนอขายด้วย