บมจ.วินโคสท์ อินดัสเทรียล พาร์ค(WIN)ภายใต้การเข้ามาคุมบังเหียนเต็มตัวของทายาทตระกูล"วงศ์สวัสดิ์"ในตำแหน่ง CEO เตรียมกำหนดทิศทางธุรกิจเพื่อเพิ่มรายได้ให้พอกพูนขึ้น พร้อมกับการแก้ปัญหาขาดทุนสะสมที่คาดว่าจะได้ข้อสรุปจากแนวทางที่วางไว้เบื้องต้น 3 แนวภายในปี 51 ซึ่งเป็นกำหนด Dead Line ของ ก.ล.ต.
สำหรับผลประกอบการในปี 50 ได้ปรับลดเป้าหมายการเติบโตของรายได้เหลือเติบโต 100% จากเมื่อต้นปีที่คาดว่าจะเติบโตสูงถึง 200% เนื่องจากลูกค้าเขตปลอดอากร และการให้บริการโลจิสติกส์ยังไม่เข้าเป้า แต่ยังหวังสิ้นปีธุรกิจโลจิสติกส์ที่มาบตาพุดจะทำรายได้ 150 ล้านบาท และจะเติบโตขึ้น 30-40% ในปี 51
*"ชินณิชา"วางทิศทาง-นโยบายธุรกิจ การลงทุน และการตลาด
นายนพพงษ์ อุรัจนานนท์ ผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนาธุรกิจ WIN เปิดเผยกับ"อินโฟเควสท์"ว่า บริษัทปรับโครงสร้างบริหารภายในให้เกิดความเหมาะสม โดย น.ส.ชินณิชา วงศ์สวัสดิ์ จะขึ้นมาดำรงตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหารและรักษาการประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายกลยุทธ์และการตลาด หลังจากเข้ามาเป็นกรรมการนาน 2-3 ปีแล้ว โดยให้นายภัทรลาภ ทวีวงศ์ ณ อยุธยาขึ้นไปเป็นประธานกรรมการบริหาร แทนนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ น้องเขยอดีตนายกรัฐมนตรี ซึ่งลาออกไปเมื่อ 20 ส.ค.ที่ผ่านมา
นอกจากนี้ นายภัทรลาภจะทำหน้าที่ประธาน Executive Committee รวมทั้งยังเป็นที่ปรึกษาให้กับบริษัทด้วย
นายนพพงษ์ กล่าวว่า นางสาวชินณิชาจะดูแลในส่วนของกลยุทธ์และการตลาด และรับผิดชอบมากขึ้นในบทบาทใหม่ คือ ตำแหน่ง CEO ซึ่งต่อไปการกำหนดทิศทางธุรกิจและแผนงานต่างๆจะออกมาจากนางสาวชินณิชา โดยขณะนี้ได้กำหนดทิศทางในเบื้องต้นไว้แล้วว่าจะทำอะไรบ้างเพื่อให้บริษัทมีรายได้เข้ามาเพื่อผลประโยชน์แก่ผู้ถือหุ้น เนื่องจากตั้งแต่เข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ มาเมื่อปี 47-48 บริษัทยังไม่เคยจ่ายเงินปันผลให้ผู้ถือหุ้นเลย เนื่องจากมีขาดทุนสะสมอยู่มาก
สำหรับตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายกลยุทธ์และการตลาด หน้าที่หลักคือ ดูแลเรื่องกลยุทธ์ การตลาด ทิศทางของบริษัทว่าควรจะไปในทิศทางใด รวมทั้งการลงทุนเพิ่มเติม และการติดต่อกับต่างประเทศ
*หั่นเป้ารายได้ปี 50 เหลือโต 100% จาก 200% เมื่อตอนต้นปี
นายนพพงษ์ คาดว่า รายได้ปีนี้จะเติบโตได้ไม่ถึงเป้าหมายที่ตั้งไว้เดิม 200% โดยคาดว่าจะเติบโตราว 100% จากปีก่อนที่มีรายได้ 80 ล้านบาท เนื่องจากลูกค้าในเขตปลอดอากรไม่เป็นไปตามเป้า ประกอบกับธุรกิจขนส่งสินค้าทางรถไฟที่มาบตาพุดลูกค้าเข้ามาไม่ทันใจผู้บริหาร เพราะเพิ่งจะเริ่มได้ไม่นาน
"ที่เคยบอกว่าเป้าโตของรายได้ปีนี้ที่ 200% คงไม่ถึงครับ คงจะเหลือแค่ 100% อยู่ที่ประมาณ 170 ล้านบาท"นายนพพงษ์ กล่าว
อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าก่อนลูกค้าที่มาบตาพุดน่าจะได้ตามที่ตั้งเป้าไว้ก่อนสิ้นปีนี้ คือ เพิ่มจำนวนวอลุ่มในการขนส่งของแต่ละเดือนเป็น 100% จาก 60% ในปัจจุบัน โดยจะใช้กลยุทธ์ CRM ในการหาลูกค้า ประกอบกับหากราคาน้ำมันปรับตัวสูงขึ้นถือเป็นผลดีต่อธุรกิจ เนื่องจากการขนส่งทางรถไฟมีต้นทุนถูกกว่าการใช้รถหัวลากตู้คอนเทนเนอร์ ซึ่งจะช่วยลดต้นทุนค่าใช้จ่ายให้ลูกค้าลงได้ประมาณ 10%
นายนพพงษ์ กล่าวว่า ภายในปีนี้อาจยังไม่เห็นการลงทุนใหม่ ๆ เนื่องจากต้องการมุ่งไปที่โครงการที่ได้ลงทุนไปแล้วเพื่อรองรับระบบการขนส่งทางรถไฟที่มาบตาพุดตามที่ได้เพิ่มทุนไว้ในปีที่แล้ว ส่วนการลงทุนในโปรเจ็คอื่นๆ ก็มีเจรจากันบ้างแต่ยังไม่มีอะไรเป็นรูปธรรม
*คาดปี 51 รายได้โลจิสติกส์มาบตาพุดโต 30-40% จาก 150 ลบ.ในปีนี้
นายนพพงษ์ คาดว่า ในปี 51 การบริการขนส่งตู้คอนเทนเนอร์เพื่อการส่งออกให้กับผู้ผลิตเม็ดพลาสติกในนิคมอุตสาหกรรมการมาบตาพุดไปท่าเรือแหลมฉบังทางรถไฟ จะมีอัตราเติบโตของรายได้เพิ่มขึ้น โดยตั้งเป้าว่าสิ้นปี 50 รายได้จากโครงการนี้จะอยู่ 150 ล้านบาท และปี 51 น่าจะโตขึ้นอีก 30-40% เนื่องจากอัตราการใช้พื้นที่(Occupancy Rate)ยังมีช่องว่างที่จะเพิ่มขึ้นได้อีกมาก และคาดว่าจะมีบริการใหม่ๆที่เกี่ยวเนื่องเพิ่มขึ้น เช่น การบริหารจัดการคลังสินค้า(Warehouse)
สำหรับโครงการบริการระบบโลจิสติกส์ที่มาบตาพุด รับรู้รายได้ไปแล้ว 6 เดือนๆ ละประมาณ 4 ล้านบาท รวมมูลค่า 24 ล้านบาท และจะยังสามารถรับรู้รายได้ไปเรื่อยๆ เนื่องจากเป็นโปรเจ็คระยะยาว ซึ่งเฟสต่อไปคือการขยายบริการเพิ่มเติมไปจากบริการเดิมที่มีอยู่
ปัจจุบันรายได้ของ WIN มาจากธุรกิจโลจิสติกส์ที่มาบตาพุด 50% เขตปลอดอากร 50% แต่คาดว่า ณ สิ้นปีนี้รายได้จากธุรกิจโลจิสติกส์จะเพิ่มเป็น 70% เขตปลอดอากร 30%
ส่วนธุรกิจการให้เช่าพื้นที่ในเขตปลอดอากร ขณะนี้ Occupancy Rate อยู่ที่ 23% โดยบริษัทมีพื้นที่รวม 66 ไร่ แบ่งเป็นเขตปลอดอากร (Free Zone) 56 ไร่ เขตสำนักงานและศูนย์ธุรกิจ 10 ไร่ และเป็นพื้นที่สีเขียว/พื้นที่ว่าง/พัฒนาในอนาคต 34 ไร่ ซึ่งบริษํทคาดว่าจะเพิ่ม Occupancy Rate เป็น 50-70%
"นี่ก็ถือเป็นนโยบายจากคุณชินณิชาที่ต้องการให้ปรับมาจากเดิมที่เรามุ่งหาผู้เช่ารายใหญ่มาสู่ผู้เช่ารายย่อยเพิ่มขึ้น ซึ่งกำลังเร่งดำเนินการอยู่ คาดว่าจะเริ่มได้ในปีนี้"นายนพพงษ์ กล่าว
*คาดสรุปแนวทางแก้ขาดทุนสะสมปี 51
นายนพพงษ์ ยังกล่าวถึงแนวทางการแก้ปัญหาขาดทุนสะสม ณ สิ้นงวด 30 มิ.ย.50 มีอยู่ 87.58 ล้านบาทว่า คาดว่าจะสรุปภายในปีหน้า เนื่องจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์(ก.ล.ต.) ให้เวลาในการแก้ไขปัญหานี้ 3 ปี นับจากปี 49 แต่หากครบ 3 ปีแล้วยังแก้ไขปัญหานี้ไม่ได้ก็ต้อง Reverse รายการกลับมาเป็นขาดทุนสะสมอีก ซึ่งก็จะยังไม่สามารถจ่ายเงินปันผลได้
สำหรับแนวทางเบื้องต้นมีอยู่ 3 แนวทาง คือ วิธีแรก เพิ่มทุนเพื่อนำพรีเมี่ยมมาหักลบ แต่ก็ต้องสอดคล้องกับแผนใช้เงินลงทุนในอนาคตด้วย แต่ขณะนี้ยังไม่มีแผน วิธีที่ 2 นำกำไรมาล้างขาดทุน หรือวิธีที่ 3 ล้างส่วนต่ำมูลค่าหุ้น ซึ่งแต่ละวิธีก็มีความแตกต่างกันไป
--อินโฟเควสท์ โดย นิศารัตน์ วิเชียรศรี/ศศิธร โทร.0-2253-5050 ต่อ 345 อีเมล์: sasithorn@infoquest.co.th--