นายอิศรา พุฒตาลศรี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บลจ.วี เปิดเผยว่า ด้วยแนวโน้มการเติบโตสูงของการใช้เทคโนโลยีอินเทอร์เน็ตที่เป็นโครงสร้างพื้นฐานสำหรับนวัตกรรรมเทคโนโลยีใหม่ๆ จึงเปิดเสนอขาย IPO "กองทุนเปิด วี เน็กซ์เจเนอเรชั่น อินเทอร์เน็ต (WE-CYBER)" ระหว่างวันที่ 18-28 ม.ค.64 ลงทุนผ่าน กองทุนหลัก ARK Next Generation Internet ETF ที่มีนโยบายลงทุน ในบริษัทที่เกี่ยวข้องกับการเติบโตจากการพัฒนานวัตกรรมที่ได้ประโยชน์จากการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างพื้นฐานของเทคโนโลยีอินเทอร์เน็ตยุคใหม่ เช่น การประมวลผลแบบคลาวด์ , Big data , เทคโนโลยีบล็อกเชน, Social Platform และ Internet of things เพื่อสร้างโอกาสรับผลตอบแทนให้กับพอร์ตการลงทุนให้สูงกว่าตลาดในระยะยาว
ตัวอย่างบริษัทที่กองทุนลงทุนเช่น 1.) บริษัท Tesla Inc. ผู้ออกแบบผลิตและจำหน่ายรถยนต์ไฟฟ้า รวมถึงระบบการส่งกำลังของรถยนต์ไฟฟ้า และเป็นเจ้าของเครือข่าย บริการและการจำหน่ายทั่วโลก โดยมีภารกิจหลักคือ การกระตุ้นให้เกิดการเข้าสู่ยุคการเดินทางที่ยั่งยืน (Accelerate the World?s Transition to Sustainable Transport)
2.) บริษัท ROKU Inc. ผู้ออกแบบผลิตผลิตภัณฑ์อิเล็กทรอนิกส์ ที่สามารถสตรีมมิ่งเสียงและวิดีโอ จากอินเทอร์เน็ตไปสู่ยังระบบเชื่อมต่อความบันเทิงภายในบ้าน ซึ่งมีฐานผู้ใช้งานทั่วโลกกว่า 36.9 ล้านคน 3.) บริษัท Square, Inc. ให้บริการซอฟต์แวร์ การชำระเงินผ่านมือถือ ณ จุดขาย มีการรายงานข้อมูลการขาย และข้อเสนอแนะต่างๆ อีกทั้งบริษัทยังให้บริการเกี่ยวกับทางการเงินและการตลาด
4.) บริษัท Zillow Group, Inc. ผู้ให้บริการอีคอมเมิร์ซ เกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์และการจำนอง ผ่านเว็บไซต์และแอปพลิเคชันมือถือ ที่ให้บริการทั้งผู้ซื้อ ผู้ขาย และผู้ให้เช่า โดยมีจำนวนผู้ใช้บริการทั่วสหรัฐอเมริกา ที่ไม่ซ้ำกันเฉลี่ย 236 ล้านคนต่อเดือน 5.) บริษัท Facebook, Inc. ผู้ให้บริการเว็บไซด์เครือข่ายสื่อสารสังคมออนไลน์ ที่มีผู้ใช้งานมากกว่า 2.5 พันล้านคนต่อเดือน และมีผู้ใช้บริการลงโฆษณาทั้งหมดกว่า 7 ล้านคน
6.) บริษัท Pinterest, Inc. แพลตฟอร์มที่รวบรวมภาพถ่ายส่วนตัว รวมถึงไอเดียใหม่ ๆ เพื่อสร้างแรงบันดาลใจและความคิดสร้างสรรค์ให้กับผู้เข้าชมซึ่งให้บริการลูกค้าทั่วโลก
ด้วยกลยุทธ์กระจายการลงทุน และเน้นเลือกบริษัทที่เติบโตจากการพัฒนานวัตกรรมใหม่ๆ รวมทั้งมีระดับราคาหุ้นที่เหมาะสม ทำให้ผลการดำเนินงานของกองทุนหลัก ARK Next Generation Internet ETF สร้างโอกาสรับผลตอบแทนที่โด่ดเด่น โดย ณ วันที่ 30 ก.ย. 2563 ให้ผลตอบแทนย้อนหลัง 3 เดือนที่อยู่ที่ 27.99% ย้อนหลัง 1 ปีอยู่ที่ 123.08% ย้อนหลัง 3 ปีอยู่ที่ 45.63% ย้อนหลัง 5 ปี 43.20% และผลตอบแทนตั้งแต่จัดตั้งกองทุน 36.28% ต่อปี *
"การพัฒนาทางเทคโนโลยีที่เติบโตต่อเนื่องทำให้เกิดการพัฒนานวัตกรรมใหม่ๆ ส่งผลให้เกิดความสะดวกสบายและตอบสนองต่อการเติบโตของสังคมเมืองที่รองรับความก้าวหน้าและการขยายตัวของทุกกลุ่มธุรกิจในอนาคต จึงเป็นโอกาสสำหรับการลงทุนในธุรกิจที่เติบโตจากการสร้างนวัตกรรมใหม่ๆ ซึ่งมีผู้จัดการกองทุนที่ผู้เชี่ยวชาญ คัดเลือกวิเคราะห์บริษัทที่เข้าไปลงทุน ในรูปแบบการใช้ข้อมูลทั้งภายในและภายนอกร่วมกัน (Open Research Ecosystem) เพื่อให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลง "กองทุนเปิด วี เน็กซ์เจเนอเรชั่น อินเทอร์เน็ต (WE-CYBER)" จึงมีความน่าสนใจลงทุนเพื่อสร้างโอกาสรับผลตอบแทนระยะยาว จากธีมการลงทุนหุ้นในกลุ่มเทคโนโลยีโครงสร้างพื้นฐานอินเทอร์เน็ต ทั่วโลก ที่เป็นปัจจัยพื้นฐานสำคัญต่อการพัฒนาธุรกิจต่างๆ ในอนาคต" นายอิศรา กล่าว
ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บลจ. วี กล่าวว่า การพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ๆ กำลังเติบโตอย่างแข็งแกร่ง เพื่อตอบสนองต่อการเติบโตของสังคมเมืองและขยายตัวของธุรกิจต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น 1.) การพัฒนา Computing Platform จากการใช้ Big Data และ Artificial Intelligence (AI) ไปสู่เทคโนโลยีเรียนรู้เชิงลึก (Deep Learning) เพื่อนำไปประยุกต์ใช้กับอุตสาหกรรมอื่นๆ เช่น รถยนต์ไร้คนขับ , การสื่อสารโดยตรงกับคอมพิวเตอร์ (Conversational Computers)
โดยการใช้ ชิปประมวลผลที่มีประสิทธิภาพสูง (AI Accelerator Chip) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน มีแนวโน้มจะเติบโตปีละประมาณ 36% และการใช้ Deep Learning สามารถสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจเติบโตปีละ 21% ขณะเดียวกัน เทคโนโลยี AI ทำให้เกิดการเติบโตในธุรกิจอื่นๆ อีกด้วย 2.) สื่อบันเทิง เทคโนโลยีเข้ามาปรับเปลี่ยนและพัฒนาเพื่อตอบสนองพฤติกรรมของผู้บริโภคด้วยการใช้ Streaming Media ซึ่งสามารถรับชม รับฟังได้ทุกที่ ทุกเวลา นอกจากนี้ AI ยังช่วยในด้านการประมวลฐานข้อมูลเชิงลึก เพื่อทำการตลาด ปัจจุบันผู้ผลิตเนื้อหาสื่อสามารถเป็นผู้จัดจำหน่ายได้ในเวลาเดียวกัน ซึ่งเพิ่มประสิทธิภาพและตอบสนองต่อผู้บริโภคในการทำการตลาดได้อย่างรวดเร็ว โดยคาดว่ารายได้จากการ Streaming จะเติบโตปีละ 35% ภายในปี 2024
ทั้งนี้นวัตกรรมที่พัฒนารองรับการใช้อินเทอร์เน็ตมากขึ้น ยังทำให้ 3.) การใช้อุปกรณ์เชื่อมโยงการส่งข้อมูลทางอินเทอร์เน็ต หรือ Internet of Things (IoT) เพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะภาคธุรกิจต่างๆ ที่ใช้ เทคโนโลยี IoT เพิ่มขึ้นจาก 13% ในปี 2014 เป็น 25% ในปี 2019 และคาดว่าจำนวนอุปกรณ์ที่เชื่อมต่อ IoT ทั่วโลกจะเพิ่มขึ้นเป็น 43,000 ล้านเครื่อง ภายในปี 2023 หรือเกือบ 3 เท่าจากปี 2018
นอกจากนี้ ยังส่งผลไปถึงการเติบโตของธุรกรรมออนไลน์ที่พัฒนาไปสู่การใช้ 4.) เทคโนโลยี โครงข่ายการเก็บบัญชีธุรกรรมออนไลน์ (Blockchain) ซึ่งมีการลงทุนมากในอุตสาหกรรมการเงิน โดยรายได้จากเทคโนโลยี Blockchain ทั่วโลกเติบโตอย่างมากและคาดว่าจะเพิ่มขึ้นที่ระดับกว่า 39,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในปี 2025 ซึ่งจะทำให้การทำธุรกิจออนไลน์ต่างๆ เป็นไปได้อย่างสะดวกและปลอดภัยมากขึ้น
และจะสนับสนุนให้ 5.) ธุรกิจ E-Commerce มีการเติบโตมากยิ่งขึ้น จากความปลอดภัยในการใช้งาน ประกอบกับการเปลี่ยนแปลงของพฤติกรรมผู้บริโภค และเทคโนโลยีที่เข้ามามีส่วนช่วยเช่น การแสดงสินค้าเหมือนจริงด้วย (Virtual Reality) ที่เพิ่มความน่าสนใจกับลูกค้า , การซื้อขายสินค้าด้วยระบบเสียง (Voice Commerce) และ การใช้เทคโนโลยีอากาศยานไร้คนขับ (Drone) ในการขนส่งสินค้าที่เริ่มใช้กับบริษัท Amazon Prime Air ทำให้ส่งสินค้าได้รวดเร็วมีต้นทุนต่ำ และใช้เทคโนโลยี Blockchain เพื่อสามารถติดตามสินค้า (Tracking) ที่สั่งซื้อได้ คาดการณ์ส่วนแบ่งในภาคธุรกิจค้าปลีก E-Commerce มีสัดส่วนที่เติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยในปี 2023 E-Commerce จะมีส่วนแบ่งกว่า 22% มูลค่ากว่า 6.5 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ