(เพิ่มเติม) METRO ลดเป้ายอดขายปี 50 เหลือ 1.2 พันลบ.จากเดิมตั้งไว้ 2 พันลบ.

ข่าวหุ้น-การเงิน Tuesday September 4, 2007 16:46 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

          นายรัตนชัย ผาตินาวิน กรรมการผู้จัดการ บมจ.เมโทรสตาร์ พร็อพเพอร์ตี้ (METRO) ลดเป้ารายได้ปีนี้ลงจากที่เคยตั้งไว้ที่ 2 พันล้านบาท โดยคาดว่าน่าจะมียอดขายในปีนี้เพียง 1.2 พันล้านบาท เนื่องจากใน 8 เดือนที่ผ่านมามียอดขายเพียง 900 ล้านบาท เป็นผลจากสถานการณ์ทางการเมืองและเศรษฐกิจที่ส่งผลให้บริษัทมีผลการดำเนินงานที่ขาดทุนในครึ่งปีแรก
อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าครึ่งปีหลังผลดำเนินงานจะปรับตัวดีขึ้นจากกยอดขายที่เพิ่มเข้ามา ส่วนจะได้เห็นกำไรในปีนี้หรือไม่คงยังตอบในขณะนี้ไม่ได้ แต่ในส่วนของยอดรับรู้รายได้ปีนี้น่าจะอยู่ที่ 1 พันล้านบาทมากกว่าปีก่อนที่มี 500 กว่าล้านบาท
"ไตรมาส 3 จะดีขึ้นเมื่อเทียบกับไตรมาส 1-2 ทั้งยอดขายและยอดรับรู้รายได้ โดยมาจากโครงการเซนหลุยส์ แกรนด์ เทอเรส ที่ยังมีการทยอยรับรู้ฯ และโครงการบ้านรวิภา โครงการเมโทร อเวนิว รัชโยธิน และ สุขุมวิท" นายรัตนชัย กล่าว
ปัจจุบัน บริษัทมีงานในมือ (backlog) 1.32 หมื่นล้านบาท ที่จะทยอยรับรู้รายได้ในช่วง 3 ปี คือตั้งแต่ปี 50-52 โดยจะเข้ามามากในช่วงปี 51 ทำให้คาดว่ายอดรับรู้รายได้ในปีหน้าจะสูงถึงประมาณ 3 พันกว่าล้านบาท อีกทั้งยังมีกองทุนอสังหาริมทรัพย์ที่จะเข้าจดทะเบียนในไตรมาส 1 ปี 51 ซึ่งจะช่วยหนุนผลประกอบการบริษัทดีขึ้น
นายรัตนชัย กล่าวต่อว่า บริษัทคาดว่าจะมีการจัดตั้งกองทุนอสังหาริมทรัพย์โดยนำเซอร์วิส อพาร์ทเมนท์ เข้าในกองทุนมีมูลค่าประมาณ 2.5 พันล้านบาท โดยอยู่ระหว่างการแต่งตั้งผู้บริหารกองทุน และคาดว่าจะสามารถนำเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ได้ประมาณไตรมาส 1/51 และหลังจากนำกองทุนดังกล่าวเข้าแล้วบริษัทก็จะขยายสินทรัพย์ในกองทุนเป็น 10,000 ล้านบาท ภายในปี 55 ซึ่งเบื้องต้นจะนำเอาโครงการเมโทรสาทรทาวเวอร์ ซึ่งมีขนาด 5,500-6,000 ล้านบาท เข้ากองทุนและอาจจะนำอีกโครงการที่พัฒนาอยู่เข้ากองทุนอสังหาฯอีก ซึ่งจะทำให้กองทุนเพิ่มเป็น 10,000 ล้านบาทได้
หลังจากขายกองทุนดังกล่าวแล้วจะเหลือกระแสเงินสดเข้ามา 700 ล้านบาท แต่จะบันทึกเป็นกำไรอีกที
สำหรับโครงการเซอร์วิส อพาร์ทเมนท์ดังกล่าวจะเป็นการปรับจากเดิมที่เป็นโครงการเทอเรสสาทรคอนโดฯ มูลค่าโครงการ 1.6 พันล้านบาท สาเหตุที่ปรับเป็นเซอร์วิส อพาร์ทเมนท์ เพราะสามารถเก็บเกี่ยวรายได้ในระยะยาวเฉลี่ยปีละ 100 ล้านบาท โดยหากอัตราการเข้าพักอาศัยเต็ม 80% ภายใน 3 ปี ก็จะทำให้ yield ของกองทุนนี้เป็น 7-8% ถึงแม้หลังในปี 51 จะมีอัตราการเข้าพักอาศัยของโครงการดังกล่าว 50% ก่อนจากอัตราการเข้าพักอาศัยอยู่ที่ 1,200 บาทต่อตร.ม.ต่อเดือน
"การที่เราปรับมาเป็นเซอร์วิส อพาร์ทเมนท์ แม้จะบันทึกรายได้และกำไรไม่มาก แต่เวลารับจะรับทั้งก้อนและกินยาว เราจึงมองว่าการปรับครั้งนี้จะดีต่อบริษัท และหลังจากที่กองทุนอสังหาฯจัดตั้งจะทำให้สัดส่วนจากการขายมาอยู่ที่ 70% และอัตราการเช่ามาอยู่ที่ 30%" นายรัตนชัย กล่าว
สำหรับอัตรากำไรขั้นต้นคงจะอยู่ที่ 33% ซึ่งลดลงจากปีก่อนที่ 35% เนื่องจากต้นทุนที่สูงขึ้นจากค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้น ส่วนเรื่องพันธมิตรที่จะเข้ามาร่วมทุน ยังรอดูจังหวะโดยมาตรการ 30% มีผลต่อการตัดสินใจด้วย
นอกจากนี้ บริษัทได้มีการมองที่ดินประมาณ 2 ไร่ รอบๆ พื้นที่ศูนย์กลางธุรกิจ (CBD) เพื่อรองรับโครงการปีหน้า

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ