โบรกเกอร์ แนะนำ"ซื้อ"หุ้น บมจ.แม็คกรุ๊ป (MC) มองว่าการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ระลอกใหม่ยังไม่ได้กระทบมากนัก ด้วยการปรับโครงสร้างของ MC ในช่วงที่ผ่านมาทำให้มีความพร้อมรองรับขยายธุรกิจมากขึ้น พร้อมกันนี้คาดกำไรสุทธิในช่วงไตรมาส 2 งวดปี 63/64 (ต.ค.-ธ.ค.) เติบโตกว่าช่วงไตรมาสแรก (ก.ค.-ก.ย.) จากการปรับ Product mix การควบคุมส่วนลด และการจัดหาวัตถุดิบในการผลิตที่ดียิ่งขึ้นส่งผลให้ต้นทุนลดลง รวมไปถึงค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร(SG&A) เมื่อเทียบกับยอดขายรวม ปรับตัวลดลงจากการควบคุมค่าใช้จ่ายที่มีประสิทธิภาพ และค่าเช่าที่ลดลง ขณะที่เป็นช่วงไฮซีซั่นและยังได้รับประโยชน์จากมาตรการ "ช้อปดีมีคืน" ด้วย
นอกจากนี้ MC ยังคงแผนขยายสินค้าใหม่เพิ่มต่อเนื่องโดยเฉพาะสินค้า Non-Denim อาทิ เสื้อฮู้ดดี้ รองเท้า และ หน้ากากอนามัย โดยสินค้าที่ขายตามฤดูกาลค่อนข้างได้รับการตอบรับที่ดี และยังได้มีการคิดค้นสินค้าในส่วนของ Denim ซึ่งมีการพัฒนาแบบ และคุณภาพของสินค้าให้ตอบโจทย์ตามความต้องการของลูกค้า สอดคล้องกับช่องทางการขายผ่าน Omni Channel คาดว่าในอนาคตจะสามารถเพิ่มสัดส่วนของรายได้มากขึ้น และยังเป็นช่องทางการขายที่ช่วยลดต้นทุนการขายด้วยเช่นกัน
ราคาหุ้น MC ปิดเที่ยงวันนี้ที่ 9.90 บาท ลดลง 0.10 บาท (-1.00%)
โบรกเกอร์ คำแนะนำ ราคาเป้าหมาย (บาท/หุ้น) ฟิลลิป (ประเทศไทย) ซื้อ 12.00 เคทีบีเอสที ซื้อ 12.00 หยวนต้า (ประเทศไทย) ซื้อเก็งกำไร 11.00 ดีบีเอส วิคเคอร์สฯ ซื้อ 11.00
นักวิเคราะห์ บล.เคทีบีเอสที กล่าวว่า การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ระลอกใหม่ยังไม่ได้มีผลกระทบต่อ MC โดยคาดการณ์กำไรสุทธิในช่วงไตรมาส 2 งวดปี 63/64 (ต.ค.-ธ.ค.) จะเติบโตเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และเติบโตกว่าช่วงไตรมาสก่อน โดยได้รับปัจจัยหนุนจากการปรับ Product mix การควบคุมส่วนลด และการจัดหาวัตถุดิบในการผลิตที่ดียิ่งขึ้น ส่งผลให้ต้นทุนปรับตัวลดลง รวมไปถึงค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารที่ปรับตัวลดลงจากการควบคุมค่าใช้จ่ายที่มีประสิทธิภาพ และค่าเช่าที่ปรับตัวลดลง ในขณะเดียวกันยังเป็นช่วงไฮซีซั่นและยังได้รับประโยชน์จากมาตรการกระตุ้นกำลังซื้อจากภาครัฐบาล "ช้อปดีมีคืน" ด้วย
สำหรับรายได้งวดปี 63/64 (ก.ค.63-มิ.ย.64) คาดว่าอยู่ที่ 3,501 ล้านบาท หรือเติบโต 10% จากกำลังซื้อสินค้าในกลุ่มแฟชั่นที่เริ่มฟื้นตัวมาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ช่วงไตรมาสแรกปี 63/64 หลังสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ที่เริ่มคลี่คลายไปในทิศทางที่ดีขึ้น รวมไปถึงการจำหน่ายสินค้าในช่องทางออนไลน์มีการขยายตัวได้อย่างต่อเนื่อง โดย MC ยังคงมีแผนการขยายตลาดทั้ง Offline และ Online อย่างต่อเนื่องซึ่งจะช่วยหนุนการเติบโตในระยะยาว
"เรามองว่าการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ระลอกใหม่ยังไม่ได้มีผลกระทบต่อบริษัท และผลประกอบการของ MC ได้ผ่านจุดต่ำสุดไปแล้วตั้งแต่ช่วงไตรมาส 4 งวดปี 62/63 และอยู่ในช่วงของการเติบโตแบบ New S-curve จากการขยายสินค้าในกลุ่มแบรนด์ MC เอง และยังมีการขยายตลาดในตลาดออนไลน์อย่างต่อเนื่อง รวมไปถึงยังมีโอกาสในการเข้าซื้อกิจการ และร่วมลงทุน หนุนการเติบโตอีกด้วย"นักวิเคราะห์ กล่าว
บทวิเคราะห์ บล.ฟิลลิป (ประเทศไทย) ระบุว่า แม้จะมีความเสี่ยงของการแพร่บาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ระลอกใหม่ แต่อย่างไรก็ตามด้วยการปรับโครงสร้างของ MC ในช่วงที่ผ่านมาทำให้มีความพร้อมในการขยายธุรกิจมากขึ้น โดยยังมองเชิงบวกต่อเป้าหมายที่ฝ่ายบริหารเคยแจ้งไว้ว่ารายได้เติบโต 10-12% ในปี 63/64
สำหรับผลประกอบการช่วงไตรมาส 2 งวดปี 63/64 (ต.ค.-ธ.ค.) คาดว่าจะมีการเติบโตเมื่อเทียบกับช่วงไตรมาสแรกของปี 63/64 เนื่องจากเป็นช่วงไฮซีซั่น อย่างไรก็ตาม ผลประกอบการทรงตัวเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน หลังได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ราว 10 วัน ในช่วงปลายเดือน ธ.ค.แต่ MC ยังคงได้ปัจจัยหนุนจากการจำหน่ายสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์
ทั้งนี้ คาดว่าอัตรากำไรขั้นต้นจะทำได้ใกล้เคียงกับช่วงไตรมาส 1 ปี 63/64 ที่ 60.7% โดยเป็นผลมาจากการปรับ Product mix การควบคุมส่วนลด ขณะเดียวกันค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร ยังได้รับปัจจัยหนุนจากการลดค่าเช่าพื้นที่ในสาขาต่าง ๆ ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสสโควิด-19 ด้วย
บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) ระบุในบทวิเคราะห์ว่า MC ยังคงแผนขยายสินค้าใหม่เพิ่มต่อเนื่องโดยเฉพาะสินค้า Non-Denim อาทิ เสื้อฮู้ดดี้ รองเท้า และหน้ากากอนามัย โดยสินค้าที่ขายตามฤดูกาลค่อนข้างได้รับการตอบรับที่ดี
ขณะเดียวกัน MC ยังได้มีการคิดค้นสินค้าในส่วนของ Denim (ยีนส์) ซึ่งมีการพัฒนาแบบและคุณภาพของสินค้าให้ตอบโจทย์ตามความต้องการของลูกค้าให้ได้มากที่สุด สอดคล้องกับช่องทางการขายผ่าน Omni Channel ซึ่งคาดว่าในอนาคตจะสามารถเพิ่มสัดส่วนของรายได้จากเดิม ที่มีสัดส่วนรายได้ 12-13% ไปสู่ระดับ 15% ซึ่งเป็นเป้าหมายในอนาคต นอกจากจะช่วยเพิ่มรายได้และยังเป็นช่องทางการขายที่ลดต้นทุนการขายเช่นกัน
สำหรับช่วงครึ่งหลังของปี 63/64 อาจจะได้รับผลกระจากกำลังซื้อที่ลดลงตามฤดูกาลและผลกระทบจากการระบาดของไวรัสโควิด-19 ระลอกใหม่ ซึ่งหาก MC สามารถคุมต้นทุนได้ดีและขายสินค้ามีมาร์จิ้นสูงได้ต่อเนื่อง จะเป็น Upside ส่วนเพิ่ม พร้อมกันนี้ MC ยังคงจุดเด่นจากฐานะทางการเงินที่แข็งแกร่ง และยังเป็น Dividend Stock ที่ดีต่อเนื่อง โดยคาดในงวดปี 63/64 จะยังคงให้อัตราผลตอบแทนจากเงินปันผล (Dividend yield) ราว 6%