นายสุธีร์ โล้วโสภณกุล รักษาการกรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย (CIMBT) เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานธนาคารในปี 2563 มีกำไรสุทธิจำนวน 1,290.6 ล้านบาท ลดลงจำนวน 727.2 ล้านบาท หรือ 36% จากปี 2562 เป็นผลจากการสำรองหนี้สงสัยจะสูญเพิ่มขึ้นเ 60% สะท้อนถึงการตั้งสำรองที่สูงขึ้นจากความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจและโอกาสที่คุณภาพสินเชื่อของลูกค้าจะได้รับผลกระทบจากการระบาดของโควิด-19 ในจำนวนนี้ธนาคารได้คำนึงถึงการคาดการณ์ล่วงหน้าของโมเดลการวัดมูลค่าผลขาดทุนด้านเครดิต (ECL) และการตั้งสำรองเพื่อรับมือกับแนวโน้มเศรษฐกิจมหภาคที่ถดถอยผ่านกระบวนการ management overlay ภายใต้มาตรฐานการรายงานทางการเงินฉบับที่ 9
ด้านรายได้จากการดำเนินงานมีจำนวน 14,927.1 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 167.6 ล้านบาท หรือ 1.1% เมื่อเปรียบเทียบกับปี 2562 สาเหตุหลักเกิดจากการเพิ่มขึ้นของรายได้อื่น 153.6% จากการเพิ่มขึ้นของกำไรสุทธิจากเครื่องมือทางการเงินที่วัดมูลค่าด้วยมูลค่ายุติธรรมผ่านกำไรหรือขาดทุนจำนวน 1,117 ล้านบาท ในขณะที่รายได้ดอกเบี้ยสุทธิลดลง 5.6% เนื่องจากการลดลงของรายได้ดอกเบี้ยจากเงินให้สินเชื่อและเงินลงทุน ด้านรายได้ค่าธรรมเนียมและบริการสุทธิลดลง 39.9% ส่วนใหญ่เกิดจากการลดลงของรายได้ค่าธรรมเนียมจากการชำระค่าสินค้าและบริการและรายได้จากการเป็นนายหน้าขายประกัน
ปีที่ผ่านมาธนาคารมีค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน ลดลงจำนวน 478.6 ล้านบาท หรือ 5.1% สาเหตุหลักมาจากการลดลงของค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับพนักงานและการบริหารจัดการเพื่อควบคุมค่าใช้จ่ายที่ดีขึ้น อัตราส่วนค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานต่อรายได้จากการดำเนินงานสำหรับปี 2563 อยู่ที่ 59.6% ปรับตัวดีขึ้นเมื่อเทียบกับปี 2562 อยู่ที่ 63.5% กรณีดังกล่าวส่งผลให้กำไรจากการดำเนินงานก่อนหักหนี้สงสัยจะสูญเพิ่มขึ้น 12.0% เป็นจำนวน 6,027.8 ล้านบาท ตามการเพิ่มขึ้นของรายได้ และค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานลดลง
อัตราส่วนรายได้ดอกเบี้ยสุทธิต่อสินทรัพย์เฉลี่ย (Net Interest Margin: NIM) สำหรับปี 2563 อยู่ที่ 3.2% ลดลงจากปี 2562 อยู่ที่ 3.5% เป็นผลจากการลดลงของรายได้ดอกเบี้ยจากเงินให้สินเชื่อและเงินลงทุน
วันที่ 31 ธันวาคม 2563 เงินให้สินเชื่อสุทธิจากรายได้รอตัดบัญชี (รวมเงินให้สินเชื่อซึ่งค้ำประกันโดยธนาคารอื่นและเงินให้สินเชื่อแก่สถาบันการเงิน) ของกลุ่มธนาคารอยู่ที่ 227.0 พันล้านบาท ลดลง 6.2% เมื่อเทียบกับเงินให้สินเชื่อ ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2562 กลุ่มธนาคารมีเงินฝาก (รวมตั๋วแลกเงิน หุ้นกู้ และผลิตภัณฑ์ทางการเงินบางประเภท) จำนวน 251.4 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 4.1% จากสิ้นปี 2562 ซึ่งมีจำนวน 241.5 พันล้านบาท อัตราส่วนสินเชื่อต่อเงินฝาก (the Modified Loan to Deposit Ratio) ของกลุ่มธนาคารลดลงเป็น 90.3% จาก 100.2% ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2562
สินเชื่อด้อยคุณภาพ (NPL) อยู่ที่ 10.5 พันล้านบาท อัตราส่วนสินเชื่อด้อยคุณภาพ ต่อเงินให้สินเชื่อทั้งสิ้นอยู่ที่ 4.6% ลดลงเมื่อเทียบกับ ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2562 อยู่ที่ 4.7% สาเหตุหลักจากการขายสินเชื่อด้อยคุณภาพในปี 2563 ประกอบกับธนาคารมีมาตรฐานการอนุมัติสินเชื่อ และนโยบายการบริหารความเสี่ยงที่รัดกุม ตลอดจนได้มีแนวทางเพิ่มประสิทธิภาพการดูแลลูกหนี้และการติดตามหนี้
อัตราส่วนค่าเผื่อผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นต่อเงินให้สินเชื่อด้อยคุณภาพ ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2563 อยู่ที่ 93.3% ลดลงจากสิ้นปี 2562 ซึ่งอยู่ที่ 99.0% ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2563 ค่าเผื่อผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นของกลุ่มธนาคารอยู่ที่จำนวน 9 พันล้านบาท ซึ่งเป็นเงินสำรองส่วนเกินตามเกณฑ์ธนาคารแห่งประเทศไทยจำนวน 2.1 พันล้านบาท
เงินกองทุนรวมของกลุ่มธนาคาร ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2563 มีจำนวน 54.3 พันล้านบาท คิดเป็นอัตราส่วนเงินกองทุนรวมต่อสินทรัพย์เสี่ยง 21.4% โดยเป็นอัตราส่วนเงินกองทุนชั้นที่ 1 ที่ 15.6%