นายณัฐกฤติ เหล่าทวีทรัพย์ ผู้อำนวยการอาวุโสที่ปรึกษาการลงทุนทิสโก้เวลธ์ ธนาคารทิสโก้ เปิดเผยว่า ธนาคารแนะนำให้ลูกค้าเวลธ์มองหาโอกาสการลงทุนในตลาดหุ้นประเทศเกิดใหม่ (EM) ที่มีความน่าสนใจมากกว่าการลงทุนในตลาดหุ้นประเทศพัฒนาแล้ว (DM) โดยเฉพาะประเทศจีน เพราะเศรษฐกิจฟื้นตัวดีและมีหุ้นวัฎจักรที่ได้รับประโยชน์จากเศรษฐกิจฟื้นตัวอยู่ในดัชนีมากกว่าประเทศอื่น ๆ ซึ่งจะเป็นการเพิ่มโอกาสสร้างผลตอบแทนที่ดีอย่างต่อเนื่อง หลังจากปีที่ผ่านมาลูกค้าเวลธ์ของธนาคารทิสโก้มีโอกาสได้รับผลตอบแทนจากการลงทุนตามคำแนะนำประมาณ 65.71%
"คำแนะนำการลงทุนในตลาดหุ้นในปีนี้ หากเปรียบเทียบการลงทุนในตลาดหุ้นประเทศพัฒนาแล้ว กับประเทศเกิดใหม่ ธนาคารทิสโก้มองว่าตลาดหุ้นประเทศเกิดใหม่น่าสนใจกว่า เนื่องจาก ตลาดหุ้นประเทศพัฒนาแล้วน่าจะมีโอกาสการปรับขึ้นได้จำกัดมากขึ้น จากมูลค่าหุ้น (Valuation) ที่แพงมาก โดยตลาดหุ้น S&P500 มีอัตราราคาต่อกำไรล่วงหน้า 12 เดือน (12m Fwd. PER) อยู่ที่ 22 เท่า และมีความเสี่ยงที่จะถูกกดดันจากเงินเฟ้อที่อาจเพิ่มขึ้นแรง ตามราคาสินค้าที่มีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้น ประกอบกับทิศทางค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ อาจอ่อนค่าลงตามเม็ดเงินการกระตุ้นเศรษฐกิจจากการผ่อนคลายนโยบายการเงิน รวมถึงนโยบายการคลังของนาย โจ ไบเดน ประธานาธิบดีสหรัฐ ที่จะเข้ามาในระบบจำนวนมาก"นายณัฐกฤติ กล่าว
นายณัฐกฤติ กล่าวว่า เม็ดเงินที่เข้ามาในระบบจำนวนมากย่อมเป็นปัจจัยบวกต่อกระแสเงินทุนให้ไหลเข้าตลาดหุ้นประเทศเกิดใหม่ เนื่องจาก ปัจจุบันตลาดหุ้นประเทศเกิดใหม่มีระดับราคาหุ้นที่น่าสนใจ เห็นได้จากดัชนี MSCI Emerging Markets มีอัตราราคาต่อกำไรล่วงหน้า 12 เดือน อยู่ที่ 15 เท่า อีกทั้ง ตลาดหุ้นประเทศเกิดใหม่มักจะปรับตัวขึ้นลงตามภาวะเศรษฐกิจค่อนข้างมากอยู่แล้ว ดังนั้น ในยามที่เศรษฐกิจฟื้นตัว ดัชนีหุ้นในกลุ่มประเทศนี้ ที่มีหุ้นกลุ่มวัฎจักร (Cyclicals) เป็นสัดส่วนค่อนข้างมากย่อมได้รับประโยชน์ เช่น หุ้นกลุ่มสถาบันการเงิน (Financials), กลุ่มสินค้าอุตสาหกรรม (Industrials), สินค้าฟุ่มเฟือย (Consumer Discretionary) และสินค้าวัสดุ (Materials) ซึ่งในปีที่ผ่านมาราคาหุ้นกลุ่มนี้ยังขยับขึ้นไม่มากเมื่อเทียบกับทั้งตลาด ทำให้ผลประกอบการของหุ้นกลุ่มวัฏจักรในปีนี้มีโอกาสที่จะโตเร็ว ราคาหุ้นก็มีความเป็นไปได้ที่จะปรับขึ้นมากกว่ากลุ่มอื่น
สำหรับธีมการลงทุนระยะยาวนั้น ธนาคารทิสโก้แนะนำให้เน้นลงทุนในหุ้นกลุ่มนวัตกรรมทางการแพทย์ (Healthcare Innovation) แทนหุ้นกลุ่มธุรกิจการแพทย์แบบดั้งเดิม (Traditional Healthcare) เช่น สถานพยาบาล, ระบบดูแลสุขภาพ หรือบริษัทยาขนาดใหญ่แต่ไม่ค่อยมีนวัตกรรมใหม่ ๆ เป็นต้น เนื่องจากธีมหุ้นกลุ่ม Healthcare Innovation มีโอกาสเติบโตได้สูงกว่าจากนวัตกรรมใหม่ ๆ ซึ่งพัฒนาออกมาอย่างต่อเนื่องจากเทคโนโลยีที่ก้าวหน้า ไม่ว่าจะเป็นกลุ่ม Digital health หรือกลุ่ม Biotech ที่นำเทคโนโลยีใหม่ ๆ มาช่วยในการรักษาโรค เช่น การรักษาโรคร้ายแรงด้วยวิธี Gene therapy หรือ Gene Editing ที่เป็นเทคโนโลยีใหม่ที่จะช่วยในการรักษาโรคร้ายแรงหรือโรคหายากอีกจำนวนมากที่ยังไม่มียารักษา ยกตัวอย่างโรคมะเร็งที่มีผู้ป่วยจำนวนมากและเป็นสาเหตุการเสียชีวิตเป็นอันดับต้นๆ ของประชากรโลก ซึ่งถ้าการคิดค้นการักษาสำเร็จก็จะทำให้เติบโตแบบก้าวกระโดดเป็นเท่าตัวจากความต้องการที่มีอยู่ทั่วโลก
"หากจะเจาะลึกมาที่ตลาดหุ้นเกิดใหม่แล้ว ในปีนี้ตลาดหุ้นจีนก็เป็นตลาดที่น่าสนใจที่สุดและเหมาะสำหรับการลงทุนในช่วง 1 ปี จากเศรษฐกิจฟื้นตัวดีมากในปีที่ผ่านมาขยายตัวได้ 2.3% เมื่อเทียบกับประเทศอื่น ๆ ที่เศรษฐกิจหดตัวรุนแรง ซึ่งได้แรงหนุนจากอุปสงค์ทั้งในและนอกประเทศที่ฟื้นตัว และในปี 2564 กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ได้คาดการณ์เศรษฐกิจจีนจะขยายตัวสูงถึง 7.9% และที่สำคัญตลาดหุ้นจีนมีสัดส่วนหุ้นวัฎจักรสูงมาก เกือบ 59% ของมูลค่าตลาดหุ้น" นายณัฐกฤติ กล่าว