ธนาคารกรุงเทพ (BBL) เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานปี 63 ธนาคารและบริษัทย่อยมีกำไรสุทธิ 17,181 ล้านบาท เทียบกับระดับกำไรสุทธิ 35,816 ล้านบาทในปี 62 โดยในปีที่ผ่านมามีรายได้ดอกเบี้ยสุทธิเพิ่มขึ้น 8.4% มาอยู่ที่ 77,047 ล้านบาท เป็นผลจากการรวมรายได้ดอกเบี้ยสุทธิของธนาคารเพอร์มาตา ในอินโดนีเซีย ที่ได้เข้าซื้อกิจการเมื่อปีที่แล้ว ขณะที่มีส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยสุทธิอยู่ที่ 2.25%
ด้านรายได้ค่าธรรมเนียมและบริการสุทธิและรายได้จากการดำเนินงานอื่นลดลง สาเหตุหลักจากค่าธรรมเนียมจากการอำนวยสินเชื่อและรายได้จากเงินลงทุน จากการนำมาตรฐานกลุ่มเครื่องมือทางการเงิน ฉบับใหม่ (ฉบับที่ 9) มาถือปฏิบัติกับงบการเงินสำหรับรอบระยะเวลาบัญชีตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.63 สำหรับค่าใช้จ่ายจากการดำเนินงานเพิ่มขึ้น 20.0% หลัก ๆ จากการรวมค่าใช้จ่ายของธนาคารเพอร์มาตา และค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการควบรวมสาขาในประเทศอินโดนีเซียเข้ากับธนาคารเพอร์มาตาในเดือนธันวาคมที่ผ่านมา ส่งผลให้อัตราส่วนค่าใช้จ่ายต่อรายได้จากการดำเนินงานอยู่ที่ 55.6%
ธนาคารตั้งสำรองผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นจำนวน 31,196 ล้านบาท ทำให้อัตราส่วนค่าเผื่อผลขาดทุนด้านเครดิตต่อเงินให้สินเชื่อที่มีการด้อยค่าด้านเครดิตอยู่ที่ 181.6% เป็นการเตรียมความพร้อมตามหลักความระมัดระวังอย่างต่อเนื่อง เพื่อรองรับความไม่แน่นอนของสภาวะเศรษฐกิจที่หดตัวจากการแพร่ระบาดของโควิด-19
ท่ามกลางความท้าทายทางเศรษฐกิจที่หดตัวทั่วโลกจากผลกระทบของโควิด-19 ธนาคารกรุงเทพยังคงยึดมั่นแนวทางการดำเนินธุรกิจด้วยความระมัดระวังและรอบคอบ ควบคู่กับการดำรงฐานะการเงิน สภาพคล่อง และเงินกองทุนให้อยู่ในระดับที่แข็งแกร่ง เพื่อรักษาเสถียรภาพทางการเงินที่ยั่งยืน และเตรียมพร้อมรองรับการดำเนินธุรกิจตามบริบทใหม่ (New Normal)
ณ สิ้นเดือน ธ.ค.63 ธนาคารมีเงินให้สินเชื่อจำนวน 2,363,338 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 14.7% จากสิ้นปี 62 หากไม่รวมธนาคารเพอร์มาตา เงินให้สินเชื่อเพิ่มขึ้น 2.7% ส่วนใหญ่จากสินเชื่อลูกค้าธุรกิจรายใหญ่ สำหรับอัตราส่วนเงินให้สินเชื่อที่มีการด้อยค่าด้านเครดิตต่อเงินให้สินเชื่อรวมอยู่ที่ 3.9% โดยธนาคารยังคงให้ความสำคัญในการดูแลกระบวนการอำนวยสินเชื่อและบริหารความเสี่ยง ควบคู่กับการดำรงค่าเผื่อผลขาดทุนด้านเครดิตให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม
ด้านเงินกองทุนและสภาพคล่อง ณ วันที่ 31 ธ.ค.63 ธนาคารมีเงินรับฝากจำนวน 2,810,863 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 18.6% จากสิ้นปี 62 หากไม่รวมธนาคารเพอร์มาตา เงินรับฝากเพิ่มขึ้น 7.3% ส่วนใหญ่จากเงินรับฝากออมทรัพย์ สำหรับอัตราส่วนเงินให้สินเชื่อต่อเงินรับฝากอยู่ที่ 84.1% สะท้อนถึงสภาพคล่องที่เพียงพอในการรองรับความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ
นอกจากนี้ ในวันที่ 23 ก.ย.63 ธนาคารออกตราสารหนี้ด้อยสิทธิที่สามารถนับเป็นเงินกองทุนชั้นที่ 1 ของธนาคารภายใต้หลักเกณฑ์ Basel III จำนวน 750 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เพื่อเสริมสร้างโครงสร้างเงินกองทุนของธนาคารให้มีความเหมาะสมมากยิ่งขึ้น
ณ สิ้นเดือน ธ.ค.63 ธนาคารมีอัตราส่วนเงินกองทุนทั้งสิ้น อัตราส่วนเงินกองทุนชั้นที่ 1 และอัตราส่วนเงินกองทุนชั้นที่ 1 ที่เป็นส่วนของเจ้าของต่อสินทรัพย์เสี่ยงของธนาคารและบริษัทย่อยอยู่ที่ 18.3%, 15.7% และ 14.9% ตามลำดับ ซึ่งอยู่ในระดับที่สูงกว่าอัตราส่วนเงินกองทุนขั้นต่ำตามที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กำหนด
ในปี 63 การแพร่ระบาดของโควิด-19 ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลกและไทยอย่างกว้างขวาง นับเป็นวิกฤติที่รุนแรงที่สุดในรอบหลายทศวรรษ ภาคธุรกิจโดยเฉพาะอย่างยิ่งภาคส่งออกและภาคท่องเที่ยวได้รับผลกระทบจากมาตรการควบคุมการแพร่ระบาด ด้วยการปิดเมืองและการจำกัดการเดินทางระหว่างประเทศ ส่งผลกระทบต่อการจ้างงานและการใช้จ่ายของภาคครัวเรือน ในช่วงไตรมาส 3 รัฐบาลได้คลายมาตรการปิดเมืองและออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจต่าง ๆ ทำให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจของประเทศเริ่มปรับตัวดีขึ้น อย่างไรก็ตามในช่วงปลายปี เศรษฐกิจไทยเข้าสู่ภาวะฟื้นตัวได้ช้าลงเนื่องจากความต้องการบริโภคซึ่งสะสมมาจากช่วงที่มีการปิดประเทศค่อย ๆ หมดไป ประกอบกับเกิดการแพร่ระบาดของโควิด-19 ระลอกใหม่ อันอาจส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจหากเกิดการระบาดในวงกว้าง
ทั้งนี้ เพื่อลดผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 รัฐบาล และ ธปท.ได้ออกมาตรการต่าง ๆ เพื่อช่วยประคับประคองและสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง โดยได้หารือกับสถาบันการเงินในการดูแลลูกหนี้ที่ได้รับผลกระทบอย่างเป็นระบบและเหมาะสมกับลูกหนี้แต่ละประเภท อย่างไรก็ตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในช่วงต่อไปยังคงมีความไม่แน่นอนสูง ทั้งจากความเสี่ยงของการระบาดระลอกใหม่ของโควิด-19 มาตรการควบคุมการแพร่ระบาด ประสิทธิผลและการกระจายวัคซีนป้องกันโควิด-19 รวมถึงช่วงเวลาของการเปิดรับนักท่องเที่ยวจากต่างประเทศอีกครั้งหนึ่ง
ดังนั้น ธนาคารจึงยังคงติดตามสถานการณ์และดูแลลูกค้าอย่างใกล้ชิด รวมถึงให้ความสำคัญในการดูแลกระบวนการอำนวยสินเชื่อและบริหารความเสี่ยงด้วยความระมัดระวังและรอบคอบ ควบคู่กับการดำรงฐานะการเงิน สภาพคล่อง และเงินกองทุนให้อยู่ในระดับที่แข็งแกร่ง