บลจ.วรรณ คาด AUM ปีนี้ 1.5 แสนลบ.ใกล้เคียงปีก่อน ชูตลาดหุ้นตปท.เด่นกว่าหุ้นไทย

ข่าวหุ้น-การเงิน Tuesday January 26, 2021 17:33 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายพจน์ หะริณสุต ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บลจ.วรรณ เปิดเผยว่า บริษัทคาดสินทรัพย์ภายใต้การบริหาร (AUM) ปีนี้จะอยู่ที่ราว 150,000 ล้านบาท ใกล้เคียงกับปี 63 ที่ 154,746 ล้านบาท แบ่งเป็น กองทุนรวม 61,000 ล้านบาท กองทุนส่วนบุคคล 40,494 ล้านบาท และกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ 53,251 ล้านบาท ขณะที่บริษัทจะเน้นการพัฒนานวัตกรรมการลงทุนที่มีความหลายหลายและทันสมัยมากขึ้น โดยบลจ.วรรณ มีมุมมองการลงทุนในตลาดหุ้นต่างประเทศในทิศทางที่เป็นบวกต่อเนื่องตั้งแต่ช่วงกลางปี 63 ที่ผ่านมา จากการที่ธนาคารกลางทั่วโลกมีแนวโน้มคงอัตราดอกเบี้ยให้อยู่ในระดับต่ำอย่างต่อเนื่อง เพื่อประคองเศรษฐกิจที่หดตัวลงจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19

นอกจากนี้ การที่นายโจ ไบเดน ชนะการเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีสหรัฐ และพรรคเดโมแครตครองเสียงส่วนมากในสภาคองเกรส ก็จะช่วยผลักดันนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจชุดใหญ่เป็นไปได้ง่ายขึ้น แต่อย่างไรก็ตามตลาดอาจจะมีความกังวลอีกครั้งเกี่ยวกับการเก็บภาษีที่จะเข้ามากดดันตลาดหุ้นได้

"เป้าหมายของ บลจ.วรรณ ในปีนี้คือการยกระดับแผนการลงทุนต่างประเทศโดยให้ผู้จัดการกองทุนที่มีความเชี่ยวชาญด้านการลงทุนในตลาดต่างประเทศของบริษัทเป็นผู้จัดการกองทุนมากขึ้น เพราะกองทุนหลักแต่ละแห่งจะมีความโดดเด่นที่แตกต่างกัน ซึ่งจะต้องผสมผสานความยืดหยุ่นนี้เข้าด้วยกัน โดยขณะนี้เราอยู่ระหว่างการเจรจาเพื่อที่จะนำเสนอกองทุนต่างประเทศเพิ่มเติมในลักษณะลงทุน Fund of Funds โดยลงทุนมากกว่า 80% และ 20% คัดเลือกหุ้นโดยตรงจากผู้จัดการกองทุนซึ่งบริษัทมองว่าอาจจะเป็นการลงทุนในแถบภูมิภาคเอเชีย นอกจากนี้บริษัทกำลังพิจารณาเสนอกองทุนทางเลือกเพิ่มเติมอีกด้วย"นายพจน์ กล่าว

นายพจน์ กล่าวว่า สำหรับทิศทางดัชนีตลาดหุ้นไทยมองว่ามีมองว่ามีโอกาสที่จะปรับตัวขึ้นได้ แต่คงไม่มากนัก โดยมองการเคลื่อนไหวในกรอบ 1,400-1,600 จุด

ทั้งนี้ หากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 คลี่คลายไปในทิศทางที่ดีขึ้น การฉีดวัคซีนไวรัสโควิด-19 สามารถกระจายไปได้ทั่วถึง และไม่มีสถานการณ์ทางการเมืองเข้ามากระทบดัชนีมีโอกาสที่จะขึ้นไปที่ระดับ 1,600 จุด แต่หากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ยังเพิ่มมากขึ้น วัคซีนกระจายไม่ทั่วถึง และยังมีแรงกดดันจากสถานการณ์ทางการเมือง ดัชนีมีโอกาสที่จะลดลงมาอยู่ที่ระดับ 1,400 จุด

สำหรับภาพรวมของเศรษฐกิจไทยในปีนี้คาดว่าผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) มีโอกาสเติบโตได้ในระดับ 3-5% เนื่องจากกิจกรรมทางเศรษฐกิจต่าง ๆ ยังสามารถดำเนินต่อไปได้ และคาดว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายจะทรงตัวอยู่ที่ระดับ 0.50% โดยจะมีมาตรการทางการเงินอื่น ๆ จากภาครัฐออกมาอย่างต่อเนื่องเพื่อที่จะลดผลกระทบจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19

ในส่วนของค่าเงินบาทคาดว่าจะแข็งค่าต่อเนื่อง โดยได้รับแรงหนุนหลักจากการอ่อนค่าของค่าเงินดอลลาร์สหรัฐที่ได้รับแรงกดดันจากการใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งใหญ่

นายพจน์ กล่าวอีกว่า สำหรับผู้ที่สามารถรับความเสี่ยงสูงได้ให้ลงทุนในตลาดหุ้นโลกอัตราส่วน 50% ในตลาดหุ้นไทย 10% ส่วนที่เหลือให้ลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงต่ำ ส่วนผู้ที่รับความเสี่ยงได้ไม่มาก ให้ลงทุนในตลาดหุ้นโลกอัตราส่วน 15% ในตลาดหุ้นไทย 5% ส่วนที่เหลือให้ลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงต่ำ


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ