บมจ.เมโทรซิสเต็มส์คอร์ปอเรชั่น(MSC)เล็งตัดขายหุ้นเพิ่มทุนให้ PP บางส่วนหลังเลือกตั้งจากทั้งล็อต 119 ล้านหุ้น
เพื่อนำมาใช้เป็นทุนหมุนเวียนมาขยายธุรกิจเดิม ในช่วงที่ตลาดหุ้นยังขาดเสถียรภาพและนักลงทุนอาจกังวลเรื่องหุ้นที่ขาดสภาพคล่อง
ส่วนแผนขยายธุรกิจ Out Sourcing อาจชะลอแผนเพื่อรอเงินจากการขายหุ้นเพิ่มทุนส่วนที่เหลือ
สำหรับปี 50 ยังคงเป้ารายได้ 6 พันล้านบาท โดยครึ่งปีแรกมีรายได้แล้ว 2,500-2,600 ลบ.และมีแนวโน้มว่าในครึ่งปีหลังจะยังทำรายได้ตามเป้า พร้อมตั้งธงปี 51 ขอโต 10-15% ตามตลาดรวม
นายณรงค์ จารุวจนะ กรรมการบริหาร MSC เปิดเผยกับ"อินโฟเควสท์"ว่า บริษัทเห็นว่าการเพิ่มทุนควรทำแบบค่อยเป็นค่อยไป ไม่จำเป็นต้องขายทีเดียวทั้ง 119 ล้านหุ้น แต่สามารถทยอยขายได้ อาจจะรอให้การเลือกตั้งผ่านพ้นไปก่อนเพื่อให้ตลาดหุ้นมีเสถียรภาพมากขึ้น ซึ่งจะเป็นช่วงเดียวกับที่บริษัทสรุปผลประกอบการทั้งปี 50
"การหา Investor ที่สนใจทางที่ปรึกษาฯ ก็ดูอยู่ ตรงนี้ต้องดูทีละไตรมาส แต่มองว่าหลังการเลือกตั้งก็จะจบไตรมาส 4 พอดีจะมี Full Year Performance ออกมาเราก็มั่นใจว่าจะไม่ด้อยกว่าปีที่แล้ว ก็น่าจะเป็น Timing ที่น่าจะเห็นอะไรออกมาว่าเป็นไปในทิศทางไหน"นายณรงค์ กล่าว
ทั้งนี้ ช่วงที่ผ่านมาได้รับแจ้งจากที่ปรึกษาในการขายหุ้นเพิ่มทุนว่าศักยภาพของบริษัทอยู่ในเกณฑ์ที่ดี ได้รับความสนใจจากนักลงทุน แต่เนื่องจากสภาพคล่องของหุ้นค่อนข้างน้อย ทำให้เป็นอุปสรรคต่อการเข้ามาลงทุนของนักลงทุนสถาบันในขณะนี้
นายณรงค์ กล่าวว่า แม้ว่าการเพิ่มทุนเป็นการเตรียมไว้รองรับแผนขยายงานในอนาคต แต่หากเพิ่มทุนยังไม่สำเร็จ บริษัทก็ยังมีเงินทุนหมุนเวียนและเครดิตไลน์ที่มีกับสถาบันการเงินเพียงพอสำหรับทำธุรกิจในปัจจุบันต่อไปอย่างไม่มีปัญหา แต่ถ้าได้เงินทุนจากการเพิ่มทุนก็สามารถขยายธุรกิจให้มากขึ้น
ส่วนแผนขยายธุรกิจ Out Sourcing คือให้บริการทั้งเครื่องและบุคลากร หากเงินเพิ่มทุนที่ได้มายังไม่เพียงพอก็สามารถชะลอออกไปก่อนได้ เพื่อขยายธุรกิจเดิมคือทำหน้าที่เป็นเทรดดิ้ง ฮาร์ดแวร์, ซัพพลาย และ ซอฟท์แวร์ เซอร์วิส ไปก่อน
"ตอนที่ตั้งใจจะเพิ่มทุนคิดว่าถ้าขายทั้งหมด 119 ล้านหุ้นเงินที่จะเข้ามาเฉลี่ยประมาณ 500 ล้านบาท ส่วนหนึ่ง 200-300 ล้านบาท จะใช้ในเรื่องการให้บริการ Out Sourcing แต่เมื่อภาวะเศรษฐกิจไม่ค่อยดีเรื่องต่างๆ ก็ชะลอลง เราก็เลยไม่มีกังวล หรือไม่มีอะไรที่จะต้องไปเร่งให้เรื่องพวกนี้เกิดขึ้นเร็ว "นายณรงค์ กล่าว
*คงเป้ารายได้ 6 พันลบ.ในปีนี้-มาร์จิ้นสูงกว่าปีก่อน
นายณรงค์ คาดว่า ในปีนี้จะมีรายได้ 6,000 ล้านบาท เติบโตขึ้นจากปีก่อนที่ขายได้ 5,700 ล้านบาท โดยครึ่งปีแรกมีรายได้แล้ว 2,500-2,600 ล้านบาท แม้ว่าจะต่ำกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ทำรายได้ 2,700 ล้านบาท แต่เชื่อว่าครึ่งปีหลังน่าจะทำได้ตามเป้า เป็นไปตามแนวโน้มปกติที่รายได้ของบริษัทในช่วงครึ่งปีหลังจะมีสัดส่วนประมาณ 55% ของรายได้ทั้งปี
"ปีนี้น่าจะขายได้ประมาณ 6,000 ล้านบาท จากทั้งปีที่ผ่านมาเราขายได้ 5,700 ล้านบาท ก็จะพยายามรักษาฐานลูกค้าเดิมหรือธุรกิจเดิมไว้ก่อน"
อย่างไรก็ตาม ในแง่มาร์จินช่วงครึ่งแรกของปีนี้สูงกว่าปีที่แล้ว โดยอัตรากำไรขั้นต้น(Gross profit margin)เพิ่มขึ้นจาก 15% กว่า มาเป็น 16% กว่า ทำให้เม็ดเงินกำไรที่เข้ามาแทบไม่แตกต่างจากช่วงเดียวกันของปีก่อนแม้รายได้จะลดลง เพราะในปีนี้เศรษฐกิจผันผวนเราก็พยายามรักษารายได้ไม่ให้น้อยกว่าปีที่แล้ว และเน้นที่กำไรให้ได้มากกว่าปีที่แล้ว
"เราเน้นอัตรากำไรขั้นต้น (gross profit margin) สูงขึ้นและพยายามที่จะควบคุมค่าใช้จ่ายโดยใช้โครงสร้างพื้นฐานที่เรามีอยู่ทั้งสถานที่ คน การบริหารจัดการ ข้อมูล ไม่ให้มีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นตามรายได้ โดยคุมค่าใช้จ่ายให้คงที่และใช้ประโยชน์จากการลงทุนที่เคยลงทุนในอดีตให้มากที่สุด" นายณรงค์ กล่าว
ครึ่งแรกของปีนี้รายได้มาจากฮาร์ดแวร์ 37% ซัพพลาย (วัสดุสิ้นเปลือง) 38% ทั้ง 2 ส่วนนี้จะเป็นเทรดดิ้งรวมกันจะอยู่ที่ประมาณ 75% ขณะที่ซอฟท์แวร์ เซอร์วิส อยู่ในสัดส่วน 25% ซึ่งเป็นการปรับจากโครงสร้างรายได้เดิมที่มีสัดส่วนเป็นเทรดดิ้ง 80% ซอฟท์แวร์ เซอร์วิส 20% เนื่องจากซอฟท์แวร์ เซอร์วิสทำมาร์จินได้มากกว่า
*คาดปีนี้จ่ายปันผลไม่น้อยกว่าปีก่อนที่อัตรา 0.33 บ./หุ้น
นายณรงค์ กล่าวว่า ในปีนี้บริษัทตั้งเป้าหมายจ่ายเงินปันผลไม่ต่ำกว่าปีก่อนที่จ่ายในอัตรา 0.33 บาท/หุ้น ตามนโยบายที่จะจ่ายปันผลไม่น้อยกว่า 50% ของกำไรสุทธิ ซึ่งครึ่งปีแรกมีกำไร 90 กว่าล้านบาท คิดเป็นกำไรต่อหุ้นประมาณ 0.30 บาท/หุ้น
*ตั้งเป้าปี 51 เติบโตไม่ต่ำกว่า 10-15%
นายณรงค์ กล่าวว่า บริษัทตั้งเป้าหมายเติบโตไม่ต่ำกว่าตลาดที่โต 10-15% ซึ่งคาดว่าจะกลับมาเติบโตอัตราดังกล่าวได้ในปี 51 หลังจากปีนี้เกิดความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจและการเมืองทำให้ทุกอย่าง slow down ลง บริษัทจึงหวังเพียงรักษารายได้ไว้ให้ได้
แต่มองว่าภายใต้ภาวะเศรษฐกิจไม่ดีธุรกิจหลายรายก็ยังต้องลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานด้านไอทีเพื่อจัดการธุรกิจให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยบริษัทเน้นตลาดองค์กรและขายตรงเป็นส่วนใหญ่ จึงไม่ได้รับผลกระทบจากงานภาครัฐที่ลดลง
ปัจจุบัน MSC มีลูกค้า 6,000 ราย โดยลูกค้าส่วนใหญ่จะมีอัตราการซื้อซ้ำ(Repeat sell)94% ของรายได้ทั้งปี เพราะฉะนั้นรายได้หลักจะมาจากลูกเก่า ซึ่งมีอัตราการ repeat sell สม่ำเสมอ และแต่ละปีก็จะมีลูกค้ากลุ่มนี้เพิ่มขึ้น ซึ่งล่าสุดบริษัทได้ลูกค้าใหม่คือ TTA
"TTA เป็นลูกค้าขนาดใหญ่ที่ซื้อสินค้าและบริการจากบริษัทครบวงจร ทั้งฮาร์ดแวร์ ซอฟแวร์ เซอร์วิส และงานก็จะเป็นงานที่ค่อยๆ Implement ไปเรื่อยๆ คิดว่าสิ้นปีคงจะหมด"นายณรงค์ กล่าว
--อินโฟเควสท์ โดย จำเนียร พรทวีทรัพย์/นิศารัตน์/ศศิธร โทร.0-2253-5050 ต่อ 345 อีเมล์: sasithorn@infoquest.co.th--