นายไตรเตชะ ตั้งมติธรรม กรรมการผู้จัดการ บมจ.ศุภาลัย (SPALI) เปิดเผยว่า ปี 64 ถือเป็นปีที่ผลงานของบริษัทจะทำ New High ทั้งรายได้และกำไร จากโครงการคอนโดสร้างเสร็จพร้อมโอนที่รอรับรู้รายได้จำนวนมาก และเชื่อว่าโครงการแนวราบจะมีแนวโน้มเติบโตได้ต่อเนื่องเช่นกัน
บริษัทตั้งเป้าหมายยอดขายในปี 64 ไว้ที่ 2.7 หมื่นล้านบาท เติบโตขึ้น 9% จากปีก่อนที่ทำยอดขายไปได้ 2.45 หมื่นล้านบาท โดยแผยเปิดโครงการใหม่ 31 โครงการจะมีมูลค่าโครงการราว 3.4 หมื่นล้านบาท สูงกว่าปีก่อนที่เปิดโครงการใหม่ไป 28 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 2.45 หมื่นล้านบาท ขณะที่วางเป้ารายได้ไว้ที่ 2.8 หมื่นล้านบาท
สำหรับโครงการใหม่ที่จะเปิดตัวในปีนี้ส่วนใหญ่มุ่งเน้นไปที่โครงการแนวราบถึง 27 โครงการ ซึ่งจะมีการเปิดตัวแบรนด์ใหม่ด้วย เนื่องจากมองเห็นโอกาสเจาะกลุ่มลูกค้าใหม่ที่สนใจซื้อโครงการแนวราบระดับราคา 3-5 ล้านบาท ส่วนคอนโดมิเนียมจะเปิดตัว 4 โครงการในทำเลที่ลูกค้าสนใจ และทำเลที่จะมีมูลค่าเพิ่มขึ้นในอนาคต จึงเชื่อว่าจะได้รับการตอบรับที่ดีเช่นเดียวกับปีก่อนที่เปิดไป 3 โครงการ
ขณะที่วางงบซื้อที่ดินในปีนี้ไว้ที่ 8 พันล้านบาทเพื่อรองรับการพัฒนาโครงการใหม่ในอนาคต
ด้านรายได้ในปีนี้จะมีการโอนโครงการใหม่ที่เป็นคอนโดมิเนียมสร้างเสร็จ 3 โครงการ ได้แก่ ศุภาลัย พรีเมียร์ เจริญนคร มูลค่า 2.99 พันล้านบาท ขายได้แล้ว 100% , ศุภาลัย ริว่า แกรนด์ มูลค่า 6.8 พันล้านบาท ขายได้แล้ว 73% และ ศุภาลัย เวอเรนด้า สถานีภาษีเจริญ มูลค่า 4.5 พันล้านบาท ขายได้แล้ว 87% นอกจากนั้น ยังมี ศุภาลัย ออเรนทัล สุขุมวิท 39 ที่จะทยอยโอนส่วนใหญ่ในปีนี้
ดังนั้น บริษัทจึงมั่นใจว่าปี 64 จะมีผลงานเติบโตขึ้นอย่างก้าวกระโดดและทำสถิติสูงสุดใหม่ โดยปัจจุบันบริษัทมีมูลค่ายอดขายรอโอน (Backlog) อยู่ที่ 3.75 หมื่นล้านบาท ซึ่งมีกำหนดรับรู้รายได้ในปีนี้กว่า 1 หมื่นล้านบาท
นายไตรเตชะ กล่าวอีกว่า การดำเนินธุรกิจของบริษัทในปี 64 ยังคงมุ่งมั่นสร้างสรรค์นวัตกรรมที่อยู่อาศัย การออกแบบผลิตภัณฑ์ใหม่ แบบบ้านใหม่ การพัฒนาคุณภาพสินค้า และบริการให้ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง ครอบคลุมทั้งในกรุงเทพฯ ปริมณฑล และภูมิภาค รวมทั้งเดินหน้าลงทุนในทำเลใหม่ๆ เพื่อขยายตลาดให้กว้างขึ้น ตอบสนองไลฟ์สไตล์ของกลุ่มลูกค้าให้ครอบคลุมทุกวัย
พร้อมกันนั้นและมุ่งเน้นเจาะตลาดกลุ่มผู้ซื้อเพื่ออยู่อาศัยจริง เพราะลูกค้าในกลุ่มนี้เมื่อซื้ออสังหาริมทรัพย์แล้วมักจะโอนกรรมสิทธิ์ตามกำหนด เพื่อลดความเสี่ยงในการทิ้งดาวน์ และจะขยายการลงทุนในออสเตรเลียต่อเนื่อง ตั้งเป้ายอดขายเติบโตก้าวกระโดดมาที่ 5.35 พันล้านบาท
นอกจากนี้ บริษัทยังมีความพร้อมทางต้นทุนทางการเงิน จากอันดับเครดิตองค์กรจาก ทริสเรทติ้ง ระดับ A สะท้อนถึงสถานะทางการเงินที่แข็งแกร่ง ความสามารถในการดำเนินธุรกิจที่มีการเติบโต และมีแนวโน้มในการสร้างรายได้ และกำไรของบริษัทฯ อย่างต่อเนื่อง เมื่อเทียบกับบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ ถือว่าบริษัทมีภาระหนี้สินที่ต่ำที่สุดในกลุ่มอุตสาหกรรมและต้นทุนทางการเงินต่ำกว่า 1.9% ต่อปี
ส่วนทิศทางสถานการณ์ตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทยปี 64 แนวโน้มจะเติบโตขึ้นจากปี 63 และจะกลับสู่ภาวะปกติในเวลาไม่นาน จากการปรับตัวเข้าสู่ยุค New Normal ในปีที่ผ่านมา ท่ามกลางวิกฤติโควิด-19 หลายบริษัทต้องปรับตัวอย่างรวดเร็ว และทันต่อสถานการณ์ โดยเฉพาะการปรับกลยุทธ์และรูปแบบการขายเพื่ออำนวยความสะดวกแก่ลูกค้า สามารถเข้าถึงลูกค้าได้อย่างเร็ว และทำให้ธุรกิจยังเดินหน้าต่อไปได้
สำหรับมาตรการสนับสนุนภาคอสังหาริมทรัพย์ที่ออกมาในการลดค่าธรรมเนียมการโอนและจดจำนองเหลือ 0.01% ต่อเนื่องจากปี 63 สำหรับที่อยู่อาศัยไม่เกิน 3 ล้านบาท มองว่าช่วยผลักดันตลาดได้เพียงส่วนหนึ่ง เพราะที่อยู่อาศัยราคาไม่เกิน 3 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 30-35% ของตลาดรวม จึงเชื่อว่าจะไม่สามารถกระตุ้นการฟื้นตัวของตลาดอสังหาริมทรัพย์ให้เห็นผลมากนัก จึงเสนอให้รัฐบาลขยับเพดานราคาเพิ่มไปที่ 5 ล้านบาท เพื่อทำให้เกิดการกระจายตัวมากขึ้นในสัดส่วน 70-80% ของตลาด