ทริสฯ จัดอันดับเครดิตองค์กร RBF ที่ "BBB+" แนวโน้ม "Stable"

ข่าวหุ้น-การเงิน Friday January 29, 2021 11:21 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด จัดอันดับเครดิตองค์กรของ บมจ. อาร์ แอนด์ บี ฟู้ด ซัพพลาย (RBF) ที่ระดับ "BBB+" ด้วยแนวโน้มอันดับเครดิต "Stable" หรือ "คงที่"

อันดับเครดิตสะท้อนถึงประสบการณ์ที่ยาวนานของบริษัทในธุรกิจผลิตและจำหน่ายวัตถุดิบที่ใช้เป็นส่วนผสมในอาหาร (Food Ingredient Industry) ซึ่งมีความเชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยี ตลอดจนความรู้ความสามารถในด้านการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ (R&D) การเติบโตที่ต่อเนื่องจากการมีผลิตภัณฑ์ที่มีความหลากหลายและเป็นนวัตกรรม และฐานะทางการเงินที่แข็งแกร่ง อย่างไรก็ตาม จุดแข็งดังกล่าวก็มีข้อจำกัดบางประการจากฐานรายได้ของบริษัทที่มีขนาดค่อนข้างเล็ก ตลอดจนอุปสรรคในการเข้าสู่ตลาดของผู้เล่นรายใหม่ที่อยู่ในระดับปานกลาง และความเสี่ยงจากการลงทุนในตลาดต่างประเทศ

ประเด็นสำคัญที่กำหนดอันดับเครดิต

ประสบการณ์ที่ยาวนานพร้อมความเชี่ยวชาญในธุรกิจ ขีดความสามารถในการแข่งขันของบริษัทเกิดจากประสบการณ์ที่สั่งสมมายาวนานถึง 30 ปีในธุรกิจหลักของบริษัทซึ่งเป็นการผลิตและจำหน่ายวัตถุแต่งรสและกลิ่น (Flavor and Fragrance ? F&F) โดยรวมถึงวัตถุแต่งกลิ่นที่นำไปเป็นส่วนผสมในน้ำหอมและเครื่องสำอาง นอกจากนี้ ยังมีสีผสมอาหาร (Food Coloring) และผลิตภัณฑ์ในกลุ่มแป้งและซอส (Food Coating) ซึ่งรวมคิดเป็นสัดส่วนถึง 75% ของรายได้ทั้งหมดของบริษัทในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2563 ทั้งนี้ ในจำนวนผู้ประกอบการ 10 รายใหญ่ในธุรกิจดังกล่าวนั้น บริษัทเป็นเพียงรายเดียวที่มีเจ้าของและบริหารโดยคนไทย ที่เหลือนอกนั้นล้วนแต่เป็นผู้ประกอบการที่เป็นเครือข่ายของบริษัทต่างชาติทั้งสิ้น

การสั่งสมประสบการณ์และความรู้ของทั้งผู้บริหารและพนักงานของบริษัทส่งผลให้บริษัทสามารถพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพสูงได้อย่างตรงตามความต้องการของลูกค้าและทันเวลา รวมทั้งยังจำหน่ายสินค้าให้แก่ลูกค้าโรงงานอุตสาหกรรมที่มีชื่อเสียงหลายรายอีกด้วย

มีความทุ่มเทเป็นอย่างมากในด้านการวิจัยและพัฒนา การวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ถือว่าเป็นจุดแข็งหลักของบริษัท บริษัทมีการว่าจ้างผู้เชี่ยวชาญทั้งในงานด้านวัตถุแต่งรสและกลิ่น รวมไปถึงงานด้านวิทยาศาสตร์อาหารเข้ามารับผิดชอบทำการวิจัยและพัฒนาเพื่อให้บริษัทสามารถคิดค้นผลิตภัณฑ์ให้ทันกับแนวโน้มใหม่ ๆ การมีทีมวิจัยและพัฒนาที่มีความสามารถส่งผลทำให้บริษัทสามารถตอบสนองต่อความต้องการของลูกค้าได้อย่างฉับไว รวมทั้งยังช่วยให้บริษัทสามารถให้บริการและคาดการณ์ความต้องการที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วของลูกค้า และสามารถแนะนำผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ ที่ช่วยลูกค้าประหยัดรายจ่ายได้ นอกจากนี้ การวิจัยและพัฒนายังช่วยให้บริษัทลดต้นทุนลงโดยบริษัทสามารถคิดค้นส่วนผสมของตนเองแทนการซื้อจากแหล่งจัดจำหน่ายรายอื่นได้อีกด้วย

เติบโตอย่างต่อเนื่องและได้รับผลกระทบด้านบวกจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส รายได้ของบริษัทมีแนวโน้มที่จะเติบโตยิ่งขึ้น โดยที่ผลิตภัณฑ์ของบริษัทเป็นสินค้าอุปโภคบริโภคที่ใช้กันอย่างกว้างขวางในอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่มตลอดจนอุตสาหกรรมอื่น ๆ ที่ไม่ใช่อาหาร ทริสเรทติ้งเชื่อว่าความหลากหลายของผลิตภัณฑ์ที่จำหน่ายแก่ผู้บริโภคทั่วไปนั้นจะช่วยลดความเสี่ยงจากลักษณะความเป็นวงจรลงได้และจะช่วยเพิ่มความยั่งยืนให้แก่ผลการดำเนินงานของบริษัทได้อีกด้วย

การขยายไปยังตลาดภูมิภาคในต่างประเทศ เช่น เวียดนามและอินโดนีเซียก็เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่จะช่วยให้รายได้ของบริษัทเติบโตขึ้น ทั้งนี้ บริษัทมีรายได้จากตลาดต่างประเทศในส่วนของธุรกิจวัตถุดิบที่ใช้เป็นส่วนผสมในอาหารเพิ่มขึ้นเป็น 16% ในปี 2562 จาก 10% ในปี 2560 สำหรับในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2563 นั้น รายได้รวมของบริษัทเพิ่มขึ้น 12% จากในช่วงเดียวกันในปี 2562 โดยที่สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โรคโควิด 19) ส่งผลในด้านบวกต่อผลการดำเนินงานโตยรวมของบริษัท

ความสามารถในการทำกำไรที่สม่ำเสมอ ทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะสามารถรักษาระดับความสามารถในการทำกำไรเอาไว้ได้ การที่บริษัทมีทีมวิจัยและพัฒนาที่มีความสามารถและมีความสัมพันธ์ที่ดีเป็นเวลายาวนานกับผู้จัดจำหน่ายวัตถุดิบและสินค้าให้บริษัทและลูกค้านั้นน่าจะช่วยทำให้บริษัทสามารถคงอัตรากำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายต่อรายได้ให้อยู่ที่ระดับ 23%-25% ได้ในช่วงปี 2563-2565 เช่นเดียวกับในช่วงปี 2560-2562

ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2563 กำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายต่อรายได้ของบริษัทอยู่ที่ระดับ 29% ซึ่งเพิ่มขึ้น 5% จากช่วงเดียวกันในปี 2562 ทั้งนี้ การเพิ่มขึ้นดังกล่าวเกิดจากการเพิ่มขึ้นของสัดส่วนรายได้จากผลิตภัณฑ์วัตถุแต่งรสและกลิ่นซึ่งมีอัตรากำไรในระดับสูง

ภาระหนี้และสภาพคล่องอยู่ในระดับดี จากสมมติฐานขั้นพื้นฐานของทริสเรทติ้ง บริษัทน่าจะยังคงรักษาสภาพปลอดหนี้ต่อไปอีก 2-3 ปี บริษัทนำเงินที่ได้จากการจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยจำนวน 1.7 พันล้านบาทไปใช้ในการจ่ายชำระคืนหนี้คงค้าง รวมทั้งใช้ในการลงทุน และใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนของบริษัท ส่วนที่เหลือนั้นบริษัทเก็บสำรองไว้เพื่อใช้ในการลงทุนในต่างประเทศ จากการสนทนากับผู้บริหารพบว่า บริษัทไม่มีแผนการที่จะลงทุนโดยใช้เงินจำนวนมากในช่วง 2-3 ปีข้างหน้า ทั้งนี้ เงินทุนจากการดำเนินงานของบริษัทนั้นมีเพียงพอต่อความต้องการในการดำเนินงานและแผนการลงทุน

สภาพคล่องของบริษัทค่อนข้างสูงและเพียงพอสำหรับอีก 12 เดือนข้างหน้า ภายใต้สมมติฐานขั้นพื้นฐานของทริสเรทติ้งคาดว่ากำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายของบริษัทจะอยู่ระหว่าง 790 ล้านบาทจนถึง 860 ล้านบาท ทั้งนี้ ณ สิ้นเดือนกันยายน 2563 บริษัทไม่มีภาระหนี้สำคัญเร่งด่วน มีเงินสดจำนวน 470 ล้านบาทและมีวงเงินสินเชื่อที่ยังไม่ได้เบิกใช้อีกจำนวน 970 ล้านบาท

อุปสรรคในการเข้าสู่ตลาดของผู้เล่นรายใหม่อยู่ในระดับปานกลาง ทริสเรทติ้งประเมินว่าอุปสรรคในการเข้าสู่ธุรกิจของผู้ประกอบการรายใหม่อยู่ในระดับปานกลาง โดยเงินลงทุนไม่จัดว่าสูงและขั้นตอนในการผลิตก็ไม่ต้องการเทคโนโลยีที่ซับซ้อน แต่ปัจจัยที่จะนำไปสู่ความสำเร็จคือความสามารถในการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์รวมถึงการบริหารต้นทุน ส่วนการที่ลูกค้าจะยึดติดกับการซื้อสินค้าจากผู้ประกอบการรายใดรายหนึ่งเป็นเวลายาวนานนั้นมีค่อนข้างต่ำโดยจะขึ้นอยู่กับความพึงพอใจของลูกค้าเป็นหลัก อย่างไรก็ตาม ประสบการณ์และผลงานที่ผ่านการพิสูจน์ของบริษัทในธุรกิจนี้น่าจะช่วยปกป้องสถานะที่มั่นคงมากของบริษัทในธุรกิจต่อไปได้อีกในระยะ 3-5 ปีข้างหน้า

ความเสี่ยงจากการลงทุนในต่างประเทศ ความเสี่ยงของประเทศที่จะเข้าไปลงทุนถือว่าเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่เป็นประเด็นกังวล ถึงแม้ว่าการลงทุนในต่างประเทศจะสร้างโอกาสในการเพิ่มฐานรายได้ให้แก่บริษัท แต่การลงทุนก็มาพร้อมกับความเสี่ยงหลายด้านไม่ว่าจะเป็นความเสี่ยงด้านการเมือง ความเสี่ยงด้านเศรษฐกิจ และความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราในตลาดเป้าหมายรวมไปถึงพฤติกรรมของผู้บริโภคในประเทศนั้น ๆ

อย่างไรก็ตาม บริษัทก็ค่อนข้างระมัดระวังในการขยายธุรกิจในต่างประเทศ ซึ่งบริษัทมักจะเข้าไปดำเนินการในตลาดเป้าหมายแห่งใหม่โดยเป็นเพียงสำนักงานขายก่อนที่จะลงทุนด้วยเงินทุนจำนวนมาก จนเมื่อมั่นใจมากพอและเห็นว่าผลการดำเนินงานในตลาดใหม่เป็นที่น่าพอใจและยั่งยืนแล้ว บริษัทจึงอาจจะตัดสินใจตั้งโรงงานในประเทศนั้น ๆ ต่อไป

สมมติฐานกรณีพื้นฐาน

-รายได้จะเติบโตที่ระดับ 5%-10% ต่อปีในช่วง 2-3 ปีข้างหน้า

-อัตรากำไรขั้นต้นจะอยู่ระหว่าง 36%-38% และกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายต่อรายได้จะอยู่ที่ระดับ 23%-25%

-เงินลงทุนรวมจะอยู่ที่ระดับ 500 ล้านบาทต่อปีในระหว่างปี 2563-2565

แนวโน้มอันดับเครดิต "Stable" หรือ "คงที่" สะท้อนถึงความคาดหมายของทริสเรทติ้งว่าบริษัทจะยังคงรักษาสถานะการแข่งขันในธุรกิจหลักของบริษัทรวมถึงกระแสเงินสดและความสามารถในการทำกำไรเอาไว้ได้ ทริสเรทติ้งยังคาดว่าการขยายการลงทุนในต่างประเทศและกลยุทธ์ขยายรายได้ในตลาดในประเทศจะทำให้บริษัทมีรายได้ที่เพิ่มขึ้นโดยที่ไม่ทำให้ความสามารถในการทำกำไรถดถอยลงจากระดับปัจจุบันอย่างมีสาระสำคัญ

ปัจจัยที่อาจทำให้อันดับเครดิตเปลี่ยนแปลง การปรับเพิ่มอันดับเครดิตจะเกิดขึ้นได้หากบริษัทสามารถเพิ่มรายได้อย่างมีนัยสำคัญได้ในขณะที่ยังสามารถรักษาอัตรากำไรและงบดุลที่แข็งแรงเอาไว้ได้ ส่วนการปรับลดอันดับเครดิตนั้นอาจเกิดจากผลการดำเนินงานที่ถดถอยลงจากที่คาดการณ์ไว้ในระยะเวลาที่ยาวนานระดับหนึ่ง หรือจากการที่บริษัทลงทุนเชิงรุกมากเกินไปด้วยการก่อหนี้


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ