นายมงคล พ่วงเภตรา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายกลยุทธ์การลงทุนหลักทรัพย์ บล.เคทีบีเอสที เปิดเผยว่า กรณีที่กองทัพเมียนมาบุกเข้าควบคุมตัวนางออง ซาน ซูจี ซึ่งดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาแห่งรัฐของเมียนมา พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ระดับสูงรายอื่นๆของพรรครัฐบาลเมียนมา ซึ่งเป็นการทำรัฐประหารว่า เป็นผลกระทบด้านจิตวิทยาการลงทุนบ้าง
โดยกลุ่มธุรกิจที่เข้าไปขยายตลาดจำหน่ายสินค้าต่างๆอาจจะได้รับผลกระทบให้ยอดขายชะงักไปบ้าง แต่อย่างไรก็ตามที่ผ่านมาก็ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ไปมากแล้ว และมองว่านักวิเคราะห์หรือนักลงทุนส่วนใหญ่ไม่ได้นำตลาดอุปโภคบริโภคในประเทศเมียนมาเข้ามาเป็นปัจจัยหลักในการวิเคราะห์หลักทรัพย์ต่าง ๆ อยู่แล้ว ในขณะเดียวกันเชื่อว่าประชาชนชาวเมียนมามีความคุ้นชินกับการถูกปกครองด้วยรัฐบาลทหาร จึงเชื่อว่าจะมี Downside ไม่มาก ในส่วนของกลุ่มที่มีการลงทุนกับภาครัฐ หรือการลงทุนในรูปแบบของการขอรับสัมปทาน ต้องมีการติดตามอย่างต่อเนื่องว่าจะได้รับผลกระทบต่อโครงการต่างๆอย่างไร ความล่าช้าของโครงการต่างๆมีมากน้อยเพียงใด แต่อย่างไรก็ตามหากมองถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้นจริงๆยังคงมีน้อย เนื่องจากโครงการต่างๆ เพิ่งได้รับการอนุมัติโครงการมาระยะเวลาไม่นานนัก โครงการต่างๆจึงยังไม่ได้เดินหน้าไปมากนัก "หากพูดถึงการค้าขายก็คงมีผลกระทบบ้างแต่ไม่มากเพราะส่วนใหญ่ก็ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 ไปแล้ว และประชาชนเองก็คงชินในรูปแบบของการปกครองด้วยรัฐบาลจากทหาร ในส่วนของโครงการขนาดใหญ่ และโครงการที่ต้องขอรับสัมปทาน ยังคงต้องติดตามว่าจะมีความล่าช้า หรือมีการเปลี่ยนแปลงอย่างไรต่อโครงการ แต่อย่างไรก็ตามเราเชื่อว่ากระทบราคาหุ้นไม่แรงเพราะโครงการยังไม่เริ่ม ยังไม่ได้ทำอะไรมาก และคนส่วนใหญ่ไม่ได้เอาปัจจัยบวกจากโครงการในเมียนมาไปคำนวนไม่มากด้วย"นายมงคล กล่าว ด้านนายไพบูลย์ นลินทรางกูร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บล.ทิสโก้ ในฐานะประธานสภาธุรกิจตลาดทุนไทย (FETCO) เปิดเผยว่า สถานการณ์ที่เกิดขึ้นในประเทศเมียนมามองว่ากระทบกับบริษัทจดทะเบียนไทยไม่มาก เนื่องจากมีสัดส่วนของรายได้จากประเทศเมียนมาไม่มากมากนัก ในขณะเดียวกันเชื่อว่าบริษัทจดทะเบียนที่เข้าไปลงทุนในประเทศเมียนมาได้คำนึงถึงความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นจากสถานการณ์รูปแบบนี้อยู่แล้ว โดยหลังจากนี้ยังคงต้องติดตามว่าต่างชาติจะมีการใช้มาตรการคว่ำบาตรต่อประเทศเมียนมาหรือไม่ และมากน้อยเพียงใดด้วย และยังคงต้องติดตามด้วยว่าทางการเมียนมาจะดำเนินการอย่างไรต่อไป "เบื้องต้นถ้าให้มองถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้นต่อบริษัทจดทะเบียนของประเทศไทยคงไม่มากนัก เพราะเมื่อดูสัดส่วนรายได้ที่มาจากเมียนมาก็ไม่มาก แต่คงต้องติดตามว่าเมียนมาจะมีการดำเนินการอย่างไรต่อไป ในขณะเดียวกันเรายังเชื่อว่าบริษัทที่เข้าไปลงทุนส่วนใหญ่ได้นำปัจจัยที่เกิดขึ้นนี้เข้ามาคำนวนความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นอยู่แล้วด้วย"นายไพบูลย์ กล่าว