นายสิทธิเดช มัยลาภ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.สกาย ไอซีที (SKY) เปิดเผยกับ "อินโฟเควสท์" ว่า บริษัทตั้งเป้ารายได้ปี 64 จะเติบโตไม่ต่ำกว่า 15-20% เมื่อเทียบกับช่วงปกติในปี 62 ที่ไม่มีผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ซึ่งมีรายได้ 4,102.70 ล้านบาท เนื่องจากขณะนี้บริษัทมีงานในมือ (Backlog) แล้วกว่า 19,000 ล้านบาท ที่มีกำหนดทยอยรับรู้รายได้ภายในปีนี้กว่า 4,000 ล้านบาท ส่วนใหญ่เกือบทั้งหมดเป็นงานจากภาครัฐ
ขณะเดียวกันบริษัทยังเตรียมเข้าประมูลงานภาครัฐอย่างต่อเนื่อง คาดหวังจะได้ทยอยเซ็นสัญญาเข้ามาต่อเนื่องตลอดทั้งปีนี้ไม่ต่ำกว่า 10,000 ล้านบาท แต่อย่างไรก็ตามยังคงต้องติดตามการใช้จ่ายงบประมาณจากภาครัฐว่าจะมีการลดการลงทุนด้านต่างๆ หรือไม่ หลังจากมีภาระต้องนำเงินไปช่วยลดผลกระทบให้กับประชาชนจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 รอบใหม่
บริษัทยังเตรียมเข้ารับงานภาคเอกชนมากขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มสมาร์ท ซีเคียวริตี้ "Smart Security Platform" โดยวางตำแหน่งเป็น Total Solution Provider ที่เน้นการพัฒนานวัตกรรมบริการ Digital Platform และ Solution ให้ลูกค้าอย่างครบวงจร ซึ่งจะเจาะกลุ่มใหม่ ๆ อาทิ ที่อยู่อาศัย อาคารสำนักงาน สถานศึกษา ห้างสรรพสินค้า โรงแรม โรงพยาบาล และโรงงาน เป็นต้น เนื่องจากภาคเอกชนให้ความสำคัญมากขึ้นเกี่ยวกับความปลอดภัยทางไซเบอร์มากขึ้น ซึ่งทางบริษัทจะลงทุนโครงการต่างๆ ให้เอกชนก่อนและมีการเก็บค่าบริการในรูปแบบรายเดือน เพื่อทำให้บริษัทรับรู้รายได้แบบประจำ (Recurring income) เสริมความยั่งยืนมากขึ้นในอนาคต
พร้อมกันนี้บริษัทมองว่าทุกวิกฤตย่อมมีโอกาสเสมอ โดยขณะนี้ยังคงมองหาการเข้าซื้อกิจการ (M&A) และการเข้าร่วมลงทุน (JV) ในธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องเพื่อที่จะสนับสนุนการเติบโตของบริษัทในอนาคต แต่ยังไม่สามารถเปิดเผยถึงรายละเอียดต่างๆได้ในปัจจุบัน
สำหรับทิศทางความสามารถในการทำกำไรปีนี้คาดว่าจะปรับตัวดีขึ้นเป็นไม่ต่ำกว่า 5% จากปี 63 ที่คาดว่าจะอยู่ที่ระดับไม่ต่ำกว่า 3% โดยได้รับปัจจัยหนุนจากการที่บริษัทเน้นการบริหารจัดการต้นทุนที่ดียิ่งขึ้น รวมไปถึงงานโครงการต่างๆ จะสามารถส่งมอบได้มากขึ้น เนื่องจากภาครัฐไม่ได้ใช้มาตรการปิดเมือง (Lockdown) ทั้งประเทศเพื่อสกัดกั้นการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ระลอกใหม่เหมือนกับในปี 63 ส่งผลให้การทำงานโครงการและการส่งมอบโครงการต่างๆสามารถดำเนินได้ตามระยะเวลาปกติ
นายสิทธิเดช กล่าวอีกว่า บริษัทยังคงเป้าหมายการเติบโตของรายได้ใน 5 ปี (63-67) ข้างหน้าจะสูงขึ้นไปแตะระดับ 10,000 ล้านบาท จากการเติบโตของธุรกิจ Digital Platform และ Smart Security Platform ได้รับปัจจัยหนุนจากการเร่งพัฒนาเทคโนโลยี IT ด้านต่างๆ อย่างต่อเนื่องหลังจากเกิดการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ที่ทำให้รูปแบบการทำงานเปลี่ยนไปทำงานที่บ้าน (Work From Home) รวมไปถึงการที่จะต้องใช้ชีวิตในรูปแบบชีวิตวิถีใหม่ (New Normal) และคลื่น 5G ที่เข้ามาปรับเปลี่ยนรูปแบบของหลายๆธุรกิจไป
ทั้งนี้ บริษัทคาดว่าในระยะเวลา 3-5 ปี สัดส่วนรายได้จากภาคเอกชนจะปรับตัวเพิ่มขึ้นเป็น 50% และรายได้จากภาครัฐบาล 50% จากปีนี้ที่บริษัทคาดว่าจะมีสัดส่วนรายได้มาจากภาคเอกชนอยู่ที่ราว 10% และสัดส่วนรายได้จากภาครัฐ 90%
"เรายังคงมองว่าในทุกวิกฤตย่อมมีโอกาสเสมอ ซึ่งบริษัทเราเป็นบริษัทด้าน IT ที่มีผลกระทบด้านบวกโดยตรงจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ที่เป็นปัจจัยเร่งในการพัฒนาระบบต่างๆที่ช่วยให้การทำงานมีประสิทธิภาพมากขึ้นในช่วงระยะเวลาไม่ปกติ และตอบรับการใช้ชีวิตในรูปแบบ New Normal ซึ่งบริษัทก็ยังคงเน้นการบริหารจัดการต้นทุนที่มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น"นายสิทธิเดช กล่าว