นายวิโรจน์ มาวิจักขณ์ กรรมการอำนวยการ บมจ. ไทยออยล์ (TOP) คาดว่า ผลการดำเนินธุรกิจในครึ่งปีหลังของบริษัท และบริษัทในเครือจะยังอยู่ในเกณฑ์ที่ดีเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน แม้ว่าจะมีแผนการหยุดซ่อมบำรุงโรงกลั่นเพื่อเพิ่มกำลังการผลิตของหน่วยกลั่นน้ำมันดิบ CDU-3 ในไตรมาส 4/50
โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากอุปสงค์น้ำมันที่มีอยู่อย่างต่อเนื่อง ขณะที่มีข้อจำกัดในการขยายอุปทานโรงกลั่นในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ทำให้ปัจจุบันกำลังการผลิตของโรงกลั่นในภูมิภาคค่อนข้างตึงตัว
นอกจากนั้นบริษัทยังได้รับประโยชน์จากความต้องการน้ำมันดีเซลทั้งในยุโรป สหรัฐอเมริกา ที่มีแนวโน้มปรับสูงขึ้นไปจนถึง 1-2 เดือนข้างหน้า เพื่อรองรับฤดูหนาวที่กำลังมาถึง ประกอบกับมีอุปสงค์จากภูมิภาค โดยเฉพาะอินโดนีเซีย และอินเดีย เพื่อรองรับอุปสงค์น้ำมันดีเซลในประเทศที่เพิ่มสูงขึ้น ส่งผลให้ราคาน้ำมันดีเซลของตลาดสิงคโปร์ปรับสูงขึ้นเป็นประวัติการณ์กว่า 92 เหรียญสหรัฐฯ /บาร์เรล
อีกทั้งยังเป็นช่วงที่ญี่ปุ่นเตรียมสำรองน้ำมันก๊าดเพื่อใช้ทำความร้อนในช่วงฤดูหนาว ทำให้ลดปริมาณการส่งออกน้ำมันก๊าดเข้ามาในภูมิภาค ส่งผลให้ราคาน้ำมันก๊าดปรับสูงขึ้นไปจนถึง 1-2 เดือนข้างหน้าเช่นกัน
"โรงกลั่นไทยออยล์ มีสัดส่วนในการผลิตน้ำมันดีเซลและน้ำมันก๊าดกว่า 50% ของผลิตภัณฑ์ที่กลั่นได้ทั้งหมด ซึ่งสูงกว่าโรงกลั่นส่วนใหญ่ และส่วนต่างราคาน้ำมันดังกล่าวคาดว่าจะมากกว่าส่วนต่างราคาของผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมอื่นๆ ในช่วงฤดูหนาวนี้ ซึ่งน่าจะเป็นปัจจัยบวกสนับสนุนผลการดำเนินธุรกิจในครึ่งปีหลังของบริษัท" นายวิโรจน์ กล่าว
ทั้งนี้ ใน 6 เดือนแรกของปี 50 บริษัทฯ และบริษัทในเครือมีกำไรสุทธิ จำนวน 12,046 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1,013 ล้านบาท จาก 6 เดือนแรกของปี 49 ซึ่งเป็นผลมาจากราคาผลิตภัณฑ์ต่างๆ และความสามารถในการกลั่นและการผลิตที่ยังคงอยู่ในระดับสูง ส่งผลให้บริษัทฯ และบริษัทในเครือ มีกำไรขั้นต้นจากการผลิตของกลุ่มอยู่ที่ 11.6 เหรียญสหรัฐฯ /บาร์เรล ซึ่งจัดเป็นผลการดำเนินงานครึ่งปีที่มีผลกำไรอยู่ในระดับสูงสุดนับจากเข้าตลาดฯ
--อินโฟเควสท์ โดย เสาวลักษณ์ อวยพร/รัชดา โทร.0-2253-5050 ต่อ 317 อีเมล์: rachada@infoquest.co.th--