นายพีระพงศ์ จรูญเอก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ (ORI) เปิดเผยว่า บริษัทได้ร่วมทุนการพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมกับบริษัท โนมูระ เรียลเอสเตท ดีเวลล็อปเมนท์ จำกัด ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ของญี่ปุ่น เพิ่มเติมอีก 2 โครงการ มูลค่ารวมโครงการกว่า 3.6 พันล้านบาท ได้แก่ โครงการดิ ออริจิ้น สุขุมวิท-สายลวด อี 22 สเตชั่น (The Origin Sukhumvit-Sailuat E22 Station) มูลค่าโครงการ 1.6 พันล้านบาท และโครงการดิ ออริจิ้น ปลั๊ก แอนด์ เพลย์ รามอินทรา (The Origin Plug & Play Ramintra) มูลค่าโครงการ 2 พันล้านบาท
จากการร่วมทุนเพิ่มเติมใน 2 โครงการดังกล่าว ส่งผลให้ ORI และโนมูระฯ มีการร่วมทุนกันในกลุ่มธุรกิจคอนโดมิเนียมสะสมจากเดิม 7 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 2.86 หมื่นล้านบาท เพิ่มเป็น 9 โครงการ มูลค่าโครงการร่วมทุนกลุ่มคอนโดมิเนียมสะสมรวม 3.22 หมื่นล้านบาท โดยความร่วมมือก่อนหน้านี้จะเป็นความร่วมมือในแบรนด์คอนโดมิเนียมระดับไฮเอนด์ ได้แก่ แบรนด์ไนท์บริดจ์ (KnightsBridge) และแบรนด์คอนโดมิเนียมระดับลักชัวรี่ ได้แก่ แบรนด์พาร์ค ออริจิ้น (PARK ORIGIN) ขณะเดียวกันยังมีโครงการร่วมทุนในกลุ่มธุรกิจโรงแรมอีก 2 โครงการอีกด้วย
ความร่วมมือเพิ่มเติมดังกล่าวสะท้อนถึงความแข็งแกร่งของบริษัทที่ยังคงได้รับความเชื่อมั่นและไว้วางใจจากพันธมิตร ทั้งในด้านการพัฒนาสินค้าคุณภาพ การพัฒนาแบรนด์ ตลอดจนความสามารถในการเข้าถึงกลุ่มลูกค้าเป้าหมายทั้งในระยะสั้นและระยะยาว ขณะเดียวกัน ความร่วมมือกับพันธมิตรต่างประเทศ จะช่วยเพิ่มขีดความสามารถของบริษัททั้งในด้านเงินทุน ด้านการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ และด้านการเข้าถึงตลาดลูกค้าชาวต่างชาติ โดยโนมูระ เรียลเอสเตท ดีเวลล็อปเมนท์ ถือเป็นพันธมิตรที่มีความแข็งแกร่งอย่างมากในทุกด้านดังกล่าว
ทั้งนี้ บริษัทยังคงพิจารณาโอกาสในการพัฒนาโครงการร่วมทุนกับบริษัทต่างๆอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะกับทางโนมูระ เรียลเอสเตท ดีเวลล็อปเมนท์ ซึ่งถือเป็นพันธมิตรต่างชาติรายแรกของบริษัท และเป็นพันธมิตรกันมาอย่างยาวนาน โดยอาจมีการสร้างความร่วมมือกันได้ทั้งกลุ่มโครงการที่อยู่อาศัยเพื่อการขายและโครงการอสังหาริมทรัพย์ประเภทอื่นๆ
"ทางโนมูระยังคงมีความเชื่อมั่นในศักยภาพของภาพรวมธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ไทย และเชื่อมั่นในศักยภาพของเครือออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ ที่ยังคงสร้างผลการดำเนินงานได้อย่างยอดเยี่ยมและต่อเนื่องนับตั้งแต่เริ่มประกาศร่วมทุนกันครั้งแรกในช่วงกลางปี 60 รวมถึงเล็งเห็นความแข็งแกร่งแบรนด์น้องใหม่อย่าง " ดิ ออริจิ้น " ที่แม้จะเพิ่งเปิดตัวแบรนด์มาได้เพียงปีครึ่ง แต่ก็ได้รับกระแสตอบรับที่ดีอย่างมากจากกลุ่มคนรุ่นใหม่"นายพีระพงศ์ กล่าว