นายชนินทร์ เย็นสุดใจ ประธานกรรมการ บมจ.สตาร์ค คอร์เปอเรชั่น (STARK) เปิดเผยว่า ภาพรวมธุรกิจในปี 64 บริษัทฯ ตั้งเป้าหมายการเติบโตของรายได้อยู่ที่ประมาณ 15-20% จากปีก่อน ทำสถิติสูงสุดใหม่ เนื่องจากรายได้หลัก คือ ธุรกิจสายไฟฟ้า และสายเคเบิล มีแนวโน้มการเติบโตที่ดีไปพร้อมกับอุตสาหกรรม จากแผนการลงทุน 5 ปี (2563-2567) ของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) ที่คาดว่าจะใช้เงินลงทุนรวมราว 2 แสนล้านบาท ส่วนใหญ่เป็นการลงทุนพัฒนาระบบส่งและจำหน่ายไฟฟ้า และแผนสนับสนุนการลงทุนโรงไฟฟ้าจากต่างชาติของรัฐบาลเวียดนาม เพื่อจะได้มีพลังงานไฟฟ้าเพียงพอต่อความต้องการใช้ในกิจกรรมทางเศรษฐกิจ
ปัจจุบัน บริษัทมีโรงงานทั้งในไทยและเวียดนาม ซึ่งทั้งสองประเทศที่มีการเติบโตและความต้องการการใช้ไฟฟ้าสูงสุดในอาเซียนตามการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ประกอบกับ บริษัท อดิสรสงขลา จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทย่อย จะสามารถสร้างการเติบโตของรายได้อยู่ที่ประมาณ 20% จากปีก่อนด้วยเช่นกัน
บริษัทยังมีกลยุทธ์มุ่งเน้นการขายสินค้าในกลุ่มที่มีความสามารถในการทำกำไรได้สูง (High Margin) โดยเฉพาะกลุ่มสายไฟแรงดันระดับกลางจนถึงระดับสูงพิเศษ (Medium ? Extra High Voltage) ที่มีการเติบโตสูง เพื่อรองรับโครงการต่างๆ ของภาครัฐและเอกชน พร้อมกับการควบคุมต้นทุน และค่าใช้จ่ายอย่างมีประสิทธิภาพ (Lean management) และการบริหารจัดการร่วมกันของกลุ่มบริษัทอย่างมีระบบ (Integrated Supply Chain Management) อีกด้วย
ด้านนายประกรณ์ เมฆจำเริญ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร STARK กล่าวว่า รายได้หลักของบริษัทในปีนี้คาดว่าจะมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง จากการรับรู้ผลการดำเนินงานของเวียดนาม ซึ่งจะมีการเพิ่มความเร็วในกำลังการผลิตจากเดิมใช้อยู่ระดับ 45-50% เท่านั้น รวมถึงรับรู้รายได้จากโครงการภาครัฐและเอกชนในประเทศไทยที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง เช่น โครงการนำสายไฟฟ้าลงใต้ดิน การขยายโครงการรถไฟฟ้า การอัพเกรดขนาดสายไฟ เพื่อรองรับการเติบโตของชุมชน การพัฒนาระบบสายส่งไฟฟ้า เป็นต้น
"บริษัทมีกำลังการผลิตสายไฟฟ้าและสายเคเบิลรวม 2.2 แสนตันต่อปี โดยแบ่งเป็นไทยและเวียดนาม 50-50% ซึ่งไทยใช้กำลังการผลิตไป 60-70% ส่วนเวียดนามใช้กำลังการผลิต 45-50% เท่านั้น ทั้งนี้ ในปี 64 บริษัทฯ จึงจะเพิ่มความเร็วในการผลิตส่วนของโรงงานเวียดนาม หลังจากที่ได้บูรณาการ 2 โรงงานเข้าด้วยกัน ซึ่งจะส่งผลทำให้โรงงานเวียดนามเกิดการประหยัดต่อขนาด และสร้างประสิทธิภาพสูงสุดให้บริษัทฯต่อไป" นายประกรณ์ กล่าว
ขณะนี้บริษัทมีงานในมือรอรับรู้รายได้ (Backlog) รวม 9,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นงานของโครงการภาครัฐและเอกชน ทั้งในประเทศไทย และเวียดนาม โดยคาดว่าจะสามารถทยอยรับรู้รายได้อย่างต่อเนื่อง รวมทั้งยังอยู่ระหว่างการเตรียมเข้าร่วมประมูลงานใหม่อีกจำนวนมาก นอกจากนี้ บริษัทยังมีแผนบุกตลาดสหรัฐผ่านทั้งบริษัทไทยและบริษัทในเวียดนาม เนื่องจากมองว่าเป็นตลาดที่มีศักยภาพในการเติบโต หลังจากจีนได้รับผลกระทบจากปัญหาด้านกำแพงภาษี ดังนั้น จึงเป็นโอกาสในการเข้าไปขยายตลาดเพิ่มขึ้นอีกด้วย