โบรกเกอร์คาดตลาดหุ้นไทยจะกลับมาฟื้นตัวในเดือน ต.ค. หรือในไตรมาส 4/50 จากกองทุนเฮจด์ฟันด์ที่รอจังหวะเวลาเข้าลงทุนก่อนการเลือกตั้งในไทย หลังเห็นความชัดเจนการเมืองในประเทศ ประกอบกับปัญหาซับไพร์มน่าจะคลี่คลายในช่วงปลายปีนี้ หรืออย่างช้าต้นปีหน้า และคาดว่าธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด)จะปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.25%-0.50% ในการประชุม 18 ก.ย.นี้ เพื่อป้องกันการชะลอตัวเศรษฐกิจสหรัฐ
นายไพบูลย์ นลินทรางกูร กรรมการผู้จัดการ บล.ทิสโก้ กล่าวว่า ขณะนี้นักลงทุนต่างประเทศ ยังสนใจเข้าลงทุนในตลาดหุ้นไทย รวมถึงหุ้นแถบประเทศเอเชีย เพียงแต่รอจังหวะเข้าซื้อ จากปัจจุบันบรรยากาศการลงทุนทั่วโลกไม่ค่อยดีนักจากผลกระทบปัญหาซับไพร์มในสหรัฐ รวมถึงปัจจัยภายในประเทศในเรื่องการเมืองที่ยังไม่ชัดเจนว่าแนวโน้มพรรคใดจะได้เข้ามาเป็นรัฐบาลใหม่
"ผมคิดว่าเรื่องการเลือกตั้ง ในดือนตุลาคมน่าจะชัดเจนมากขึ้นว่ากลุ่มไหนจับขั้วกับใคร ก็จะทำให้ภาพการเมืองชัดเจนมากขึ้น คิดว่าช่วงต.ค.หรือในไตรมาส 4 กองทุนเฮดจ์ฟันด์จะกลับเข้ามา ตอนนี้เข้ารอจังหวะเข้ามาเท่านั้น ตอนนี้ต้องถือว่าตลาดหุ้นบ้านเราถูกสุดในแถบนี้" นายไพบูลย์ กล่าว
ขณะนี้ ตลาดทั่วโลกยังคงกังวลเรื่องซับไพร์มในสหรัฐ ทำให้กองทุนเฮดจ์ฟันด์ได้ถอนการลงทุนออกไปมากในช่วงเดือนส.ค. ขณะที่กองทุนรวมที่นโยบายลงทุนระยะยาวก็ยังเข้าลงทุนในตลาดหุ้นไทย
อย่างไรก็ดี คาดว่าภายในไตรมาส 4 สถานการณ์ตลาดเงินและตลาดทุนทั่วโลกจะเริ่มดีขึ้นจากปัญหาซับไพร์มคลี่คลาย และคาดว่าเฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยในรอบนี้ 0.25-0.50% ดังนั้นจึงมองว่าภายในสิ้นปีมีโอกาสเห็นดัชนี SET แตะ 900 จุดได้ และราวกลางปีจะไต่ไปถึง 1,000 จุด
ด้านนายกวี ชูกิจเกษม ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บล.กสิกรไทย คาดว่ากองทุนเฮจด์ฟันด์จะกลับเข้าตลาดหุ้นกลุ่มตลาดเกิดใหม่รวมทั้งตลาดหุ้นไทยในช่วงปลายต.ค. หรืออีก 1-2 เดือนข้างหน้า เพราะปัญหาซับไพร์มน่าจะคลี่คลายในช่วงสิ้นปีนี้หรือต้นปีหน้า จากช่วงที่ผ่านมาถูกกดดันทำให้ต้องถอนเงินลงทุนออกมาก่อน
"เฮดจ์ฟันด์น่าจะเข้ามาประมาณ ปลายตุลาคม หรือต้นพฤศจิกายน น่าจะเห็นดัชนีหุ้นไทยและประเทศในภูมิภาคนี้รอบนี้ ที่ทำให้ดัชนีหุ้นไทยและประเทศอื่นกลับมาสู่จุดที่เคย Highสูด โดยดัชนีหุ้นไทยขึ้นไปสูงสุดที่ 895 จุด อย่างไรก็ตาม กสิกรไทยก็ยังคาดว่าดัชนีสิ้นปีนี้ที่ 860 " นายกวีกล่าว
นอกจากนี้ คาดว่าเฟดจะลดอัตราดอกเบี้ยในรอบนี้ประมาณ 0.25% - 0.50% เพื่อช่วยป้องกันไม่ให้ภาวะเศรษฐกิจุชะลอตัว และจะส่งผลให้คณะกรรมการนโยบายการเงิน(กนง.) ปรับลดดอกเบี้ยนโยบายตามไปด้วย รวมทั้งธนาคารพาณิชย์ไทยก็น่าจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลงก่อนสิ้นปีนี้ ซึ่งจะช่วยกระต้นการบริโภคในประเทศได้
นายก้องเกียรติ โอภาสวงการ ประธานกรรมการบริหาร บล.แอสเซสพลัส กล่าวว่า ช่วงที่ผ่านมาเม็ดเงินต่างชาติที่เข้าลงทุนในตลาดหุ้นน้อยลง แต่เชื่อว่าต่างชาติยังให้น้ำหนักการลงทุนในตลาดหุ้นไทย (over weight) เนื่องจากไทยมีปัจจัยที่น่าลงทุน ได้แก่ ภาคอุตสาหกรรมที่ยังมีการลงทุน , จีดีพีของประเทศยังขยายตัวในระดับดี และการเลือกตั้งมีความชัดเจนมากขึ้น
อย่างไรก็ตาม อยากให้ภาครัฐให้ความสำคัญกับการลงทุนโครงการด้านสาธารณูปโภคโดยเร่งดำเนินการให้เกิดขึ้นจริงโดยเร็วเพื่อสร้างความเชื่อมั่นกับนักลงทุนต่างประเทศต่อเนื่อง
ขณะที่นายศุภวุฒิ สายเชื้อ กรรมการผู้จัดการ บล.ภัทร กลับมองว่า ปัญหาซับไพร์ม และ CDO ในสหรัฐ มีแนวโน้มจะเป็นปัญหาใหญ่กว่าที่เห็น ฉะนั้น การลดอัตราดอกเบี้ยของเฟด โดยรอบนี้จะปรับลง 0.25-0.50% ก็ไม่น่าช่วยแก้ปัญหาเรื่องซับไพร์มและ CDO แต่คาดว่าจะเกิดความชัดเจนได้ประมาณปลายปีนี้หรือต้นปีหน้า รวมทั้งภาวะเศรษฐกิจสหรัฐที่ชะลอตัวจะส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้นโลก รวมทั้งตลาดหุ้นไทย
"ณ ขณะนี้นักลงทุนกำลังลดความเสี่ยง จึงลดการลงทุนไปทั่วโลก และพอหายฝุ่นตลบแล้ว ก็จะเห็นความชัดเจนของความเสียหายของ CDO ปัญหาสภาพคล่องที่สหรัฐและยุโรป จากนั้นถึงจะมีการจัดพอร์ตใหม่อีกทีหนึ่ง นักลงทุนตอนนี้รอนั่งประเมินอย่างเดียว" นายศุภวุฒิกล่าว
ดังนั้น เชื่อว่าตลาดหุ้นไทยยังถูกกระทบทั้งจากปัจจัยภายนอกและปัจจัยภายใน โดยเฉพาะเรื่องการเลือกตั้ง การจัดตั้งรัฐบาลใหม่ความมีเสถียรภาพของรัฐบาลใหม่ รวมถึงนโยบายรัฐบาลที่เข้ามาใหม่ด้วย
--อินโฟเควสท์ โดย เสาวลักษณ์ อวยพร/ศศิธร โทร.0-2253-5050 ต่อ 345 อีเมล์: sasithorn@infoquest.co.th--