บมจ.ที คิว อาร์ (TQR) กำหนดราคาเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนต่อประชาชนทั่วไปครั้งแรก (IPO) จำนวนไม่เกิน 60 ล้านหุ้น ที่ราคาหุ้นละ 5.10 บาท จากมูลค่าที่ตราไว้ 0.50 บาท/หุ้น โดยจะเปิดให้จองซื้อในช่วงวันที่ 9-11 ก.พ.นี้ และคาดว่าจะสามารถเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) ในวันที่ 17 ก.พ.64 ใช้ชื่อย่อ TQR เข้าเทรดในกลุ่มธุรกิจการเงิน
ทั้งนี้ TQR ประกอบธุรกิจนายหน้าประกันภัยต่อ มีสัตถุประสงค์ในการระดมทุนเพื่อลงทุนพัฒนาระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ ส่งเสริมประสิทธิภาพในการให้บริการ (Operational Efficiency Improvement Platform) โครงการพัฒนาแบบจำลองและวิเคราะห์รูปแบบประกันภัยต่อ และ เงินลงทุนในธุรกิจอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง
ที่มาของการกำหนดราคาเสนอขาย IPO กำหนดตามมูลค่าเชิงเปรียบเทียบกับมูลค่าของบริษัทเทียบเคียงที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) และตลาดหลักทรัพย์เอ็มเอไอ (MAI) ที่สามารถอ้างอิงได้ (Market Comparable) โดยพิจารณาจากอัตราส่วนราคาหุ้นต่อกำไรสุทธิต่อหุ้นของบริษัท (P/E) ประกอบกับการสำรวจความต้องการซื้อหลักทรัพย์ (Book Building) ซึ่งเป็นวิธีการสอบถามปริมาณความต้องการซื้อหุ้นสามัญของนักลงทุนสถาบัน
ทั้งนี้ ราคาหุ้นสามัญที่เสนอขายหุ้นละ 5.10 บาท คิดเป็นอัตราส่วนราคาต่อกำไรสุทธิต่อหุ้น (P/E) เท่ากับ 11.6 เท่า เมื่อเทียบกับกำไรสุทธิที่ 0.44 บาทต่อหุ้น คำนวณจากกำไรสุทธิของบริษัทในช่วง 4 ไตรมาสย้อนหลัง ตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค.62-30 ก.ย.63 ซึ่งมีกำไรสุทธิเท่ากับ 74.4 ล้านบาท หารด้วยจำนวนหุ้นสามัญทั้งหมดของบริษัทฯ ก่อนการเสนอขายหุ้นในครั้งนี้ 170 ล้านหุ้น (Pre-IPO Dilution) และคิดเป็น P/E เท่ากับ 15.8 เท่า เมื่อเทียบกับกำไรสุทธิ 0.32 บาทต่อหุ้น หากพิจารณากำไรสุทธิต่อหุ้นที่คำนวณจากจำนวนหุ้นสามัญทั้งหมดของบริษัทภายหลังการเสนอขายหุ้นในครั้งนี้ ซึ่งเท่ากับ 230 ล้านหุ้น (Post-IPO Dilution)
นางสาวพันทิตา แซ่เอ็ง รองกรรมการผู้จัดการ บล.ธนชาต ในฐานะผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายหุ้นสามัญของ บมจ.ที คิว อาร์ เปิดเผยว่า การกำหนดราคาไอพีโอที่ระดับ 5.10 บาทต่อหุ้น ซึ่งถือว่าเป็นราคาที่เหมาะสม สอดคล้องกับปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่งของ TQR และด้วยผลประกอบการที่มีความสามารถในการทำกำไรสูง และมีแนวโน้มธุรกิจที่จะเติบโตต่อเนื่องในอนาคต สอดรับกับ New Normal ในปัจจุบัน และจากการโรดโชว์ที่ผ่านมาได้รับความสนใจการนักลงทุนสถาบัน และนักลงทุนรายย่อยเป็นจำนวนมาก จึงมั่นใจว่า จะเป็นอีกหนึ่งหลักทรัพย์ที่ได้รับการตอบรับที่ดีอย่างมากจากนักลงทุน
สำหรับผู้ร่วมจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายในครั้งนี้ ได้แก่ บล.บัวหลวง
นางสาวจิรยง อนุมานราชธน กรรมการผู้จัดการ บริษัท เจย์ แคปปิตอล แอดไวเซอรี จำกัด ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน กล่าวว่า TQR นี้มีจุดเด่นคือการเป็นหุ้นธุรกิจนายหน้าประกันภัยต่อแบบครบวงจรที่มีทีมผู้บริหารที่มีความเชี่ยวชาญ ประสบการณ์ด้านประกันภัยต่อและประกันภัยมากกว่า 20 ปี มีความสัมพันธ์ที่ดีกับคู่ค้า ที่สำคัญคือมีฐานะทางการเงินที่แข็งแกร่ง ผลประกอบการขยายตัวต่อเนื่อง ซึ่งถือเป็นหัวใจสำคัญของการดำเนินธุรกิจและสร้างความเชื่อมั่นให้เกิดแก่คู่ค้าด้วย อีกทั้งยังอยู่ในอุตสาหกรรมที่มีโอกาสเติบโตในอุตสาหกรรมได้อีกมาก
ด้วยการให้บริการที่มีคุณภาพของ TQR สามารถตอบสนองความต้องการของบริษัทประกันภัยและบริษัทรับประกันภัยต่อในการจัดหาสัญญาประกันภัยต่อที่เหมาะสมได้ สอดคล้องกับจำนวนสัญญาประกันภัยต่อที่ผ่าน TQR เพิ่มขึ้นเป็นอย่างมาก พร้อมทั้งมีการบริหารต้นทุนและค่าใช้จ่ายในการขายเป็นอย่างดี จึงทำให้ผลประกอบการเติบโตต่อเนื่อง
ในปี 60-62 บริษัทมีรายได้รวม 104.96 ล้านบาท 153.75 ล้านบาท 132.49 ล้านบาท ตามลำดับ ขณะที่งวด 9 เดือนแรกของปี 63 บริษัทมีรายได้รวม 160.47 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 57.39% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยได้รับปัจจัยหนุนจากการเพิ่มขึ้นของรายได้ จากกลุ่มธุรกิจนายหน้าประกันภัยต่อแบบพัฒนาช่องทางและผลิตภัณฑ์ใหม่ร่วมกัน (Alternative Business)
ส่วนกำไรสุทธิสำหรับปี 60-62 อยู่ที่ 23.62 ล้านบาท 32.88 ล้านบาท 44.04 ล้านบาทตามลำดับ และงวด 9 เดือนแรกของปี 63 มีกำไรสุทธิ 68.62 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 79.54% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 38.22 ล้านบาท
นายชนะพันธุ์ พิริยะพันธุ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร TQR กล่าวว่า ภายหลังจากการระดมทุนในครั้งนี้ จะทำให้บริษัทมีความแข็งแกร่งยิ่งขึ้น พร้อมทั้งเพิ่มศักยภาพการแข่งขันในธุรกิจให้มีการเติบโตมากขึ้น รวมทั้งมีฐานทุนที่มั่นคงยิ่งกว่าเดิม ชื่อเสียงเป็นที่ยอมรับของคู่ค้าทั้งในประเทศและต่างประเทศ และด้วยแนวโน้มของธุรกิจที่ยังสามารถเติบโตได้อีกมากในอนาคต จากความต้องการด้านการประกันภัยต่อสูงขึ้น
การที่บริษัทมีผู้ถือหุ้นใหญ่เป็นกลุ่มพรรณิภา ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ใน บมจ.ทีคิวเอ็ม คอร์ปอเรชั่น (TQM) ด้วยนั้น ก่อนหน้านี้ ทางกลุ่มผู้ถือหุ้นใหญ่ได้มีการใส่เงินเพิ่มทุนมาให้เพื่อเสริมฐานเงินทุนของบริษัทในการขยายธุรกิจ ซึ่งในอนาคตบริษัทจะมีความสัมพันธ์ที่ดีเพิ่มมากขึ้นกับผู้ถือหุ้นใหญ่ TQM ที่จะเข้ามาช่วยส่งเสริมธุรกิจซึ่งกันและกันได้
สำหรับภาพรวมธุรกิจประกันภัยต่อทั้งในประเทศและต่างประเทศมีการแข่งขันและการเติบโตสูง โดยเฉพาะช่วงที่มีการเกิดความไม่แน่นอน เช่น การแพร่ระบาดโควิด-19 ทำให้ปี 63 ยอดขายประกันโควิดสูงถึง 4 พันล้านบาท และคิดเป็น 7 ล้านกรมธรรม์ ซึ่งบริษัทมั่นใจในศักยภาพในการทำธุรกิจ และ การบริหารความเสี่ยงให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม โดยปัจจุบันบริษัทมีสัดส่วนงานรับประกันในประเทศ 20% และต่างประเทศ 80%