หุ้น OR ปิดเทรดช่วงเช้าที่ 26.75 บาท เพิ่มขึ้น 8.75 บาท (+48.61%) จากราคาขาย IPO 18.00 บาท/หุ้น มูลค่าซื้อขาย 3.17 หมื่นล้านบาท โดยเปิดตลาดที่ 26.50 บาท ราคาขึ้นสูงสุด 28.00 บาท และราคาลงต่ำสุด 22.10 บาท
บทวิเคราะห์ของ บล. ดีบีเอส วิคเคอร์ส แนะนำ "ซื้อ" หุ้น บมจ.ปตท.น้ำมันและการค้าปลีก (OR) โดยให้ราคาพื้นฐาน 21 บาท โดย OR เข้าทำการซื้อขายใน SET วันแรก และคาดจะได้เข้าไปคำนวณใน SET50 และ SET100 แบบ Fast track เนื่องจากมี Maket Cap สูง ทั้งนี้บริษัทมีจำนวนหุ้นเรียกชำระแล้วทั้งหมดหลัง IPO ไม่เกิน 12,000 ล้านหุ้น ณ ราคา IPO 18 บาท คิดเป็น Market Cap 2.16 แสนล้านบาท
สำหรับหุ้นที่มี Market Cap อันดับสุดท้ายที่อยู่ใน SET50 คือ TTW รองมาเป็น COM7, VGI (ณ ราคาปิด 9 ก.พ.) ถ้า OR เข้ามาใน SET50 ก็มีโอกาสสูงที่หุ้น 1 ใน 3 อันดับสุดท้ายจะต้องออกไปจากการคำนวณดัชนี
ธุรกิจของ OR เป็นผู้นำในธุรกิจน้ำมันค้าปลีก ส่วนแบ่งการตลาดอันดับ 1 ที่ 41.9% ในปี 63 มี EBITDA จากธุรกิจน้ำมันค้าปลีก 61% และบริษัทขยายไปทำธุรกิจค้าปลีกที่ไม่ใช้น้ำมัน ส่วนนี้มี EBITDA 26% ซึ่งธุรกิจหลัก ได้แก่ กาแฟอเมซอน (3,168 ร้าน), เท็กซัส ชิคเก้น, ฮั่งเซ่งฮงติ่มซำ, ร้าน 7-11, ร้าน Jiffy เป็นต้น สำหรับธุรกิจต่างประเทศ มีสัดส่วน EBITDA 8% ของทั้งหมด ที่เหลือเป็นอื่นๆ
ธุรกิจที่ไม่ใช่น้ำมันจะมีบทบาทใน OR เพิ่มขึ้นและเป็นหลักที่หนุนการเติบโตของกำไรสุทธิ เพราะเป็นธุรกิจที่ให้ EBITDA margin สูงกว่าธุรกิจน้ำมันค้าปลีก รวมทั้งมีความเสถียรของรายได้และกำไรมากกว่า เราคาดว่าการเติบโตของธุรกิจน้ำมันค้าปลีกจะอยู่ที่ 2-3% ต่อปี ขณะที่รายได้ธุรกิจที่ไม่ใช่น้ำมันจะขยายตัวสูงกว่าที่ 10-15% ต่อปี
นอกจากนั้นมี Hidden Asset Value จากการมีที่ดินกว่า 1 พันไร่ (ราคาทุน 1.2 หมื่นล้านบาท ขณะที่ราคาตลาดสูงกว่าทุนอย่างมีนัยสำคัญ), มีเงินลงทุน 7.1% ใน BAFS, มีเงินลงทุน 40.5% ในบริษัทท่อส่งปิโตรเลียมไทย (THAPPINE) และมีเงินลงทุน 9.6% ใน Flash Express
OR จะนำเงินที่ได้จาก IPO ไปขยายธุรกิจ โดยได้เงินจากการทำ IPO ราว 5.4 หมื่นล้านบาท จะไปใช้ขยายปั๊มน้ำมัน ปัจจุบันมี 1,968 แห่ง ตั้งเป้าเพิ่ม 108 แห่ง/ปีใน 5 ปีข้างหน้าเป็นกว่า 2,500 แห่งภายในสิ้นปี 68, ขยายเครือข่ายร้านค้าปลีก และธุรกิจต่างประเทศ
ฝ่ายวิจัยฯ DBS ให้ราคาพื้นฐาน 21 บาท (DCF, WACC 7.95%, TG 2%) มี Upside 17% จากราคาจองซื้อที่ 18 บาท ทั้งนี้คาดการณ์ว่ากำไรสุทธิในช่วงปี 63-68 จะเติบโตเฉลี่ยปีละ 14% หนุนโดยอุปสงค์น้ำมันที่สูงในไทยและกัมพูชา, จำนวนปั้มที่เพิ่มขึ้น และการขยายธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม
ความเสี่ยงของผลประกอบการ ได้แก่ ความผันผวนของค่าการตลาดน้ำมันค้าปลีก (มีทั้งช่วงที่กำไรและที่ขาดทุน), การฟื้นตัวของเศรษฐกิจล่าช้ามาก, การเติบโตรวดเร็วของรถยนต์ไฟฟ้า, การแข่งขันในธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม เป็นต้น
ด้านนางสาวจิราพร ขาวสวัสดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ OR เปิดเผยว่า การเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ จะช่วยให้ OR สามารถรักษาสถานะความเป็นผู้นำและดำเนินธุรกิจให้เป็นไปตามวิสัยทัศน์ที่ตั้งใจไว้ คือ การเป็นแบรนด์ไทยชั้นนำระดับโลกที่สร้างคุณค่าให้กับชุมชนผ่านการดำเนินธุรกิจน้ำมัน ธุรกิจค้าปลีก และธุรกิจที่เกี่ยวเนื่อง
OR มีแผนจะนำเงินที่ได้จากการระดมทุนไปขยายเครือข่ายสถานีบริการน้ำมัน ขยายธุรกิจสำหรับการตลาดพาณิชย์ ลงทุนในคลังเก็บผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมและศูนย์กระจายสินค้า ขยายเครือข่ายร้านค้าปลีก และลงทุนในธุรกิจต่างประเทศ รวมถึงใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินธุรกิจ และ/หรือชำระคืนเงินกู้ยืม (ถ้ามี) เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อกิจการของ โออาร์ และบริษัทย่อย นอกจากนี้ยังมีแผนที่จะต่อยอดความสำเร็จและความชำนาญสู่ระดับภูมิภาคและระดับโลก
"เรามั่นใจว่านักลงทุนที่เชื่อมั่นในศักยภาพและร่วมเป็นเจ้าของ OR จะเติบโตไปกับเราในฐานะผู้นำในการดำเนินธุรกิจน้ำมัน และธุรกิจค้าปลีกสินค้าและบริการอื่น ๆ อย่างผสมผสานกันทั้งในประเทศและต่างประเทศ ด้วยแนวคิด "Retailing Beyond Fuel" ที่มุ่งสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพที่น่าเชื่อถือ พัฒนาสินค้าและบริการที่ตรงใจผู้บริโภค ควบคู่กับการสร้างคุณค่าและการมีส่วนร่วมให้กับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกกลุ่มอย่างยั่งยืนและสมดุล" นางสาวจิราพรกล่าวเสริม