ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดพุ่งขึ้นกว่า 180 จุดเมื่อคืนนี้ (11 ก.ย.) เนื่องจากนักลงทุนส่วนใหญ่มั่นใจว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยในการประชุมสัปดาห์หน้า หลังจากจากข้อมูลเศรษฐกิจของสหรัฐชะลอตัวลง โดยเฉพาะตัวเลขจ้างงานนอกภาคการเกษตร โดยดาวโจนส์ทะยานขึ้นแม้นายเบน เบอร์นันเก้ ประธานเฟดไม่ได้ส่งสัญญาณเรื่องความเคลื่อนไหวของเฟดก็ตาม
สำนักข่าวเอพีรายงานว่า ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์พุ่งขึ้น 180.54 จุด หรือ 1.38% ปิดที่ 13,308.39 จุด ขณะที่ดัชนี S&P 500 เพิ่มขึ้น 19.79 จุด หรือ 1.36% ปิดที่ 1,471.49 จุด และดัชนี Nasdaq บวกขึ้น 38.36 จุด หรือ 1.50% ปิดที่ 2,597.47 จุด
ปริมาณการซื้อขายในตลาดหุ้นนิวยอร์กมีอยู่ประมาณ 1.31 พันล้านหุ้น มีจำนวนหุ้นบวกมากกว่าหุ้นลบในอัตราส่วน 3 ต่อ 1 ส่วนปริมาณการซื้อขายในตลาด Nasdaq มีอยู่ประมาณ 1.77 พันล้านหุ้น
นายสตีฟ โกลด์แมน นักวิเคราะห์ด้านยุทธศาสตร์การลงทุนจากบริษัทวีเดนแอนด์โค กล่าวว่า "ก่อนหน้านี้นักลงทุนคาดหวังว่าในการกล่าวสุนทรพจน์ที่ธนาคารบุนเดสแบงค์ของเยอรมนีนั้น นายเบน เบอร์นันเก้ จะส่งสัญญาณเรื่องการปรับลดอัตราดอกเบี้ยเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจสหรัฐที่ชะลอตัวลง และเพื่อผ่อนคลายภาวะตึงตัวที่เกิดขึ้นในตลาดสินเชื่อ แต่ในทางกลับกัน นายเบอร์นันเก้กลับกล่าวเพียงว่าทุกประเทศทั่วโลกจำเป็นต้องร่วมมือกันเพื่อรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ และรักษาเศรษฐกิจโลกให้สมดุลทันทีที่เกิดภาวะขาดดุลการค้าหรือเกินดุลการค้า"
"ถึงกระนั้นก็ตาม นักลงทุนไม่ได้ให้ความสำคัญต่อสุนทรพจน์ของนายเบอร์นันเก้มากนัก แต่กลับมั่นใจว่าเฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจแน่นอน เนื่องจากข้อมูลเศรษฐกิจของสหรัฐชะลอตัวลงอย่างเห็นได้ชัด โดยเฉพาะตัวเลขจ้างงานนอกภาคการเกษตร" นายโกลด์แมนกล่าว
เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา กระทรวงแรงงานสหรัฐ เปิดเผยว่า ตัวเลขจ้างงานใหม่นอกภาคการเกษตรประจำเดือนส.ค.ลดลง 4,000 ตำแหน่ง ซึ่งเป็นการปรับตัวลงเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2546 ซึ่งสำคัญสาเหตุที่ทำให้ตัวเลขการจ้างงานลดลงเป็นครั้งแรกในรอบ 4 ปีนั้น เป็นผลมาจากคนงานในภาคการผลิตและการก่อสร้างร่วงลงอย่างมาก โดยภาคการผลิตร่วงลง 46,000 ตำแหน่ง และคนงานก่อสร้างลดลง 22,000 ตำแหน่ง ซึ่งเป็นจำนวนมากที่สุดนับตั้งแต่เดือนก.ค.2546
ส่วนเมื่อคืนนี้ กระทรวงพาณิชย์สหรัฐจะเปิดเผยว่า ยอดขาดดุลการค้าลดลงสู่ระดับ 5.92 หมื่นล้านดอลลาร์ในเดือนก.ค.จากระดับ 5.94 หมื่นล้านดอลลาร์ในเดือนมิ.ย. แต่สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดไว้ที่ 5.9 หมื่นล้านดอลลาร์
หุ้นกลุ่มเวชภัณฑ์ได้รับแรงซื้อหนาแน่น โดยหุ้นอิมโคลน ซิสเต็มพุ่งขึ้น 18.4% หุ้นบริสทอล-เมเยอร์ส สควิบบ์ ดีดขึ้น 23 เซนต์ ปิดที่ 28.23 ดอลลาร์ หลังจากบริษัทอิมโคลน ซิสเต็มส์และบริษัทบริสทอล-เมเยอร์สเปิดเผยว่า จากการศึกษาในขั้นตอนสุดท้ายพบว่า ยา Erbitux สามารถเพิ่มอัตราการรอดชีวิตให้กับผู้ป่วยโรคมะเร็งปอดได้
หุ้นแมคโดนัล พุ่งขึ้น 3.2% หลังจากบริษัทเปิดเผยยอดขายทั่วโลกพุ่งขึ้นแข็งแกร่งในเดือนส.ค. ขณะที่หุ้นโบอิ้งดีดขึ้น 2.2% หลังจากบริษัทโบอิ้งได้รับสัญญาจัดหาเครื่องบินและอุปกรณ์การบินมูลค่า 1.1 พันล้านดอลลาร์จากกองทัพอากาศสหรัฐ
--อินโฟเควสท์ แปลและเรียบเรียงโดย รัตนา พงศ์ทวิช โทร.0-2253-5050 ต่อ 327 อีเมล์: ratana@infoquest.co.th--