"โลหะกิจ เม็ททอล" จะขาย IPO 80 ล้านหุ้น ตั้ง ZMICO เป็นที่ปรึกษาฯ

          สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์(ก.ล.ต.)เปิดเผยว่า บมจ.โลหะกิจ เม็ททอล จะเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนต่อประชาชนทั่วไป(IPO)จำนวน 80 ล้านหุ้นหรือคิดเป็น 25%ของหุ้นที่เรียกชำระแล้วทั้งหมดของบริษัทภายหลังการเสนอขายหุ้นในครั้งนี้  โดยจะนำหุ้นเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย พร้อมแต่งตั้งบล.ซีมิโก้ เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน
          เงินที่ได้จากการระดมทุนครั้งนี้จะนำไปใช้ในการก่อสร้างอาคาร จัดซื้อเครื่องจักรและอุปกรณ์, ใช้ในการชำระคืนเงินกู้ยืม และใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน
          บมจ. โลหะกิจ เม็ททอล และบริษัทย่อย  2 บริษัท คือ บริษัท ออโต้ เม็ททอล จำกัด และบริษัท ดี-สเตนเลส จำกัด เป็นศูนย์บริการผลิตภัณฑ์สเตนเลส ทั้งการให้บริการสเตนเลสรีดเย็นชนิดม้วนและแผ่น, ท่อสเตนเลสกลม, ท่อสเตนเลสประเภทท่อไอเสียรถยนต์, สเตนเลสเกรมเฉพาะ, เหล็กชุบสังกะสีชนิดม้วนและแผ่น, เหล็กเคลือบสังกะสีชนิดม้วนและแผ่น รวมถึงบริการตัด เจาะ และขัดผิว สเตนเลส ตามความต้องการของลูกค้า
          ทั้งนี้ บริษัทฯมีผู้ถือหุ้นรายใหญ่ ณ วันที่ 27 กรกฎาคม 2550 ประกอบด้วยกลุ่มตระกูลอัครพงศ์พิศักดิ์ ถือหุ้นรวมกันในสัดส่วน 90% ภายหลังการขาย IPO ครั้งนี้แล้วจะถูกลดสัดส่วนการถือหุ้นลงเหลือ 67.50% และนายนุชา วัฒโนภาส ถือหุ้น 10% ภายหลังการขาย IPO ครั้งนี้แล้วจะถูกลดสัดส่วนการถือหุ้นลงเหลือ 7.50% 
          โครงสร้างรายได้ของบริษัทและบริษัทย่อยในปีบัญชี 2550 ต่อรายได้รวมมาจากการขายสเตนเลสรีดเย็นชนิดม้วนและแผ่น 41.27% จากการขายสเตนเลสเกรดเฉพาะ 23.94% จากการขายท่อสเตนเลส 13.07% จากการขายท่อไอเสียรถยนต์และท่อไอเสียรถจักรยานยนต์ 1.88% และจากการขายเหล็กชุบสังกะสีและเหล็กเคลือบสังกะสี 18.28% ทั้งนี้บริษัทมีเป้าหมายการดำเนินธุรกิจโดยการเป็นผู้นำด้านศูนย์บริการสเตนเลสครบวงจรที่มีการให้บริการครอบคลุมและสมบูรณ์แบบ
          ผลดำเนินงานของบริษัทและบริษัทย่อยใน 3 เดือนแรกของปีบัญชี 2551 สิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2550 มีรายได้รวม 646.81 ล้านบาท เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปี 2550 ที่มีรายได้รวม 555.06 ล้านบาท ส่วนค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร 21.92 ล้านบาท เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปี 2550 ที่มี 18.40 ล้านบาท ส่วนอัตรากำไรขั้นต้น 11.06%  
          ทั้งนี้ บริษัทฯมีนโยบายการจ่ายปันผลไม่ต่ำกว่า 40% ของกำไรสุทธิหลังหักภาษีเงินได้นิติบุคคล