เจ้าหน้าที่ประชาสัมพันธ์ บริษัท เอก-ชัย ดิสทริบิวชั่น ซิสเทม จำกัด เปิดเผยความคืบหน้าการเปลี่ยนชื่อและปรับเปลี่ยนแบรนด์เทสโก้ โลตัส (TESCO Lotus) เป็น โลตัส (Lotus's) ว่า หลังจากที่เครือซีพี ภายใต้บริษัท ซี.พี. รีเทล โฮลดิ้ง จำกัด ซึ่งถือหุ้นโดย บมจ.ซีพี ออลล์ (CPALL) สัดส่วน 40% บมจ.เจริญโภคภัณฑ์โฮลดิ้ง สัดส่วน 40% และบริษัท ซี.พี. เมอร์แชนไดซิ่ง จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทลูกของ CPF สัดส่วน 20% ได้เข้าซื้อกิจการ บริษัท เทสโก้ สโตร์ส (ประเทศไทย) จำกัด และ Tesco Store (Malaysia) เข้ามาแล้วเสร็จในช่วงปลายปี 63
โดยทางเครือซีพีได้ปรับแบรนด์โลตัสครั้งใหญ่ตามกฎของการโอนถ่ายกิจการจากกลุ่มเทสโก้ ประเทศอังกฤษ และเพื่อให้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์การบริหารงานของเครือซีพีที่ต้องการให้โลตัสมีความทันสมัยมากขึ้น หลังจากที่โลตัสเปิดให้บริการในไทยมานานกว่า 27 ปี โดยนำร่องปรับแบรนด์ครั้งใหญ่และทยอยรีโนเวทสาขาเลียบทางด่วนรามอินทราฯ สาขาอ่อนนุช และสาขาพระราม 4 ก่อนจะทยอยปรับสาขาอื่นๆ ทั้งในประเทศไทยและมาเลเซียต่อไป
ขณะที่รายงานข่าวจากโลตัส ระบุว่า โลตัสย่านรามอินทรา จัดงานเปิดตัวแบรนด์ใหม่โลตัส แทนแบรนด์เทสโก้โลตัสเดิมที่มีการออกแบบสีและตัวอักษรใหม่ ที่มีความสดใสมากขึ้น รวมถึงวิธีการเขียนที่เพิ่ม "s"มาอีก1 ตัว แทนคำว่า สมาร์ท (Simple, Motivate, Agile, Responsible, transformative) และ สะท้อนถึงการสร้างคุณค่าด้านความยั่งยืน (Sustainability) โดยโลตัสสาขารามอินทราถือเป็นสาขาแรก ภายใต้การรีแบรนด์ใหม่ ซึ่งหากเข้าไปเยี่ยมชมจะพบเทคโนโลยีใหม่หลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นหุ่นยนต์ชงกาแฟ การออกแบบสโตร์รูปแบบใหม่ รวมถึงการนำสินค้าชุมชนมาเปิดโอกาสทางการตลาด
ประสบการณ์ Smart ช้อปปิ้งนำร่องที่สองสาขา
โลตัสสาขาเลียบด่วนเอกมัย-รามอินทรา ซึ่งเป็นร้านค้าขนาดใหญ่ ที่ได้รับการปรับพื้นที่ทุกบริเวณของสาขา ทั้งในส่วนซูเปอร์มาร์เก็ตและศูนย์การค้า เพื่อให้เป็น Mega Food Store ที่มีอาหารครบครัน ทั้งในส่วนของซูเปอร์มาร์เก็ต แผนกอาหารสด อาหารพร้อมทาน และอาหารแห้ง รวมถึงร้านค้าเช่า และศูนย์อาหาร โดยบริการใหม่ๆอีกมากมายเพื่อชิวิตที่สะดวกสบายกว่าเดิม
โลตัสสาขาเอกชัย 99 ซึ่งเป็นร้านค้าขนาดเล็ก ได้รับการปรับโฉมเป็นแบรนด์ "Lotus?s go fresh" ที่เน้นการมอบสินค้าอาหารสุดคุณภาพสูงอย่างครบครัน พร้อมสินค้าที่จำเป็นต่อชีวิตประจำวัน ตอบโจทย์ผู้บริโภคยุคนิวนอร์มัลที่ขยับมาซื้ออาหารสดในร้านขนาดเล็กที่ใกล้บ้านมากกว่าเดิม
นายศุภชัย เจียรวนนท์ ประธานคณะผู้บริหารเครือเจริญโภคภัณฑ์ เผยว่า การเปิดตัวแบรนด์โลตัสเน้นย้ำถึงการยึดม่นใน ค่านิยมของเครือเจริญโภคภัณฑ์ ข้อแรกคือ 3 ประโยชน์ ประเทศต้องได้ประโยชน์ กตัญญูต่อประเทศ สิ่งที่เราลงทุน สิ่งที่เราทำทั้งหมดประเทศต้องได้ประโยชน์ ต้องให้ประชาชน ลูกค้า และคู่ค้า ได้ประโยชน์ แล้วบริษัทจึงจะได้ประโยชน์ เป็นลำดับสุดท้าย
ประการที่ 2 คือความรวดเร็วและมีคุณภาพในเวลาเดียวกัน ซึ่งต้องให้ความสำคัญกับคุณภาพสินค้าและบริการที่ลูกค้าต้องได้รับสิ่งที่ดีที่สุด
ประการที่ 3 ทำเรื่องยากให้เป็นเรื่องง่าย ซึ่งต้องอาศัยความรู้ความสามารถของคนรุ่นใหม่ ผสมผสานกับประสบการณ์ของคนทุกรุ่น
ประการที่ 4 เปิดรับความเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ปรับตัวให้ทันต่อความเปลี่ยนแปลง
ประการที่ 5 สร้างนวัตกรรมสิ่งที่สามารถที่จะเติมเต็มและสร้างวิถีชีวิตที่ดีขึ้นให้กับผู้บริโภคต้องการ
ประการที่ 6 คือซื่อสัตย์ยุติธรรม ซึ่งต้องรับฟังทุกภาคส่วนและมีความโปร่งใส ยกระดับสังคมไปพร้อมๆกัน
วัฒนธรรม 3 ประโยชน์ คือการคำนึงถึงส่วนรวมเป็นที่ตั้ง คำนึงถึงผู้บริโภคประชาชนและบริษัทเกิดขึ้นได้และยั่งยืนได้ก็ด้วยคำนึงถึงประโยชน์เหล่านี้ นั่นหมายความว่า การที่เรากำลังมองถึงประเทศชาติ รัฐ ประชาชนและบริษัท จริงๆแล้วมีความทันสมัย เสมือนที่นานาประเทศทั่วโลกกำลังขับเคลื่อนกัน หรือเรียกว่า PPP (Public Private Partnership) คำว่า Partner หรือความร่วมมือหรือการผนึกกำลัง ไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะใน 3 มิติที่พูดถึง แต่เกิดขึ้นในระดับของเครือเจริญโภคภัณฑ์ด้วย ในทุกๆกลุ่มธุรกิจที่ต้องผนึกกำลังกัน
และเกิดขึ้นระหว่าง Lotus?s ตลอดจนคู่ค้า ตลอดห่วงโซ่อุปทานของ Lotus?s ที่จะต้องผนึกกำลังกันและนำมาซึ่งของที่มีคุณค่าคุณประโยชน์ ของที่มีการพัฒนาให้เกิดความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง ของใหม่ๆ ที่ผู้บริโภคต้องการ สร้างคุณประโยชน์ให้กับผู้บริโภค ให้กับลูกค้า ให้กับชุมชนในที่ที่ Lotus?s อยู่
Lotus?s ในยุคต่อไป ก็จะเป็น Lotus?s ที่ก้าวเข้าสู่ยุค o2o คือออฟไลน์ไปออนไลน์ จากจุดที่เราเป็นร้านค้าที่ผู้คนมาเดินหาซื้อของซื้ออาหาร แต่ต่อไปนี้จะไปถึงขั้นที่คนสามารถเข้าถึงระบบออนไลน์ และจะเป็นการเปิดโอกาสให้สินค้าชุมชนขึ้นมาอยู่บนแพลตฟอร์มออนไลน์ได้ ทำให้เกิดความยั่งยืนให้กับทุกภาคส่วน