นายสุรศักดิ์ เอิบสิริสุข กรรมการผู้จัดการ บมจ.สหมิตรถังแก๊ส (SMPC) เปิดเผยว่า สำหรับแผนธุรกิจในปี 64 บริษัทคาดยอดขายจะเติบโต 10-15% จากปี 2563 ขณะเดียวกันสำหรับปีนี้บริษัทก็จะมีการขยายตลาดใหม่ๆ เพิ่ม อย่างในทวีปอเมริกาใต้ หลังจากที่ยอดขายในทวีปอเมริกาเหนือเติบโตแรง นอกจากนี้ยังมีประเทศในแถบแอฟริกาที่ยังมีโอกาสการเติบโตอีกมาก ขณะที่ตลาด CLMV ก็มียอดขายดีขึ้นเช่นเดียวกัน
พร้อมกันนี้ บริษัทยังขยายกำลังการผลิตถังแก๊สขนาดใหญ่ปริมาตรกว่า 500 ลิตรเพิ่มอีกวันละประมาณ 80 ใบ หรือราวเดือนละ 2,500 ใบ ซึ่งมีความต้องการใช้งานเพิ่มขึ้น ทั้งนี้การขยายกำลังการผลิตดังกล่าวแล้วเสร็จ และพร้อมรองรับออเดอร์ใหม่ ส่วนถังแก๊สปกติกำลังการผลิตเดินเครื่องเต็มกำลังจากออเดอร์ที่เข้ามาต่อเนื่อง อย่างไรก็ดี บริษัทยังมีปัจจัยที่ต้องเฝ้าระวังในช่วงเวลานี้คือการขนส่งที่อาจจะติดขัดบ้าง รวมไปถึงการปรับขึ้นอัตราค่าขนส่ง แต่บริษัทยังสามารถบริหารจัดการได้โดยพยายามทำให้ไม่ส่งผลกระทบถึงมาร์จิ้นมากนัก
นายสุรศักดิ์ กล่าวว่า ภาพรวมความต้องการถังแก๊สเพิ่มขึ้นต่อเนื่องทั้งในประเทศและต่างประเทศ อีกทั้งขณะนี้สถานการณ์โควิด-19 กลับมาระบาดรอบ 2 อีกครั้ง ทำให้ประชาชนอยู่บ้านมากขึ้น หรือการทำงานจากบ้าน (Work From Home) จึงมีการทำอาหารรับประทานเอง ส่งผลให้ออเดอร์ถังแก๊สยังคงดีต่อเนื่อง
"ตอนนี้อย่างที่ทราบว่าไม่สามารถเดินทางไปไหนได้มาก เพื่อไม่ให้เกิดการแพร่กระจายของเชื้อโรค เป็นโอกาสที่คนส่วนมากก็จะอยู่บ้าน ทำงานที่บ้าน ดังนั้นจึงมีการทำอาหารเองมากขึ้น ทำให้ออเดอร์ถังแก๊สขายดี ทั้งในประเทศและต่างประเทศ นอกจากนี้บริษัทก็มีการขยายกำลังการผลิตถังขนาดใหญ่เพื่อรองรับความต้องการที่เพิ่มขึ้น จึงเชื่อว่าปี 64 บริษัทฯ จะยังมียอดขายที่เติบโตได้กว่า 10-15% ส่วนเรื่องการขนส่ง หรือราคาเหล็กก็เป็นเรื่องที่ต้องติดตาม และบริหารจัดการอย่างใกล้ชิด ซึ่งบริษัทฯ มีแผนบริหาร และการรับมือแล้ว น่าจะไม่กระทบมาร์จิ้นมากนัก" นายสุรศักดิ์ กล่าว
อย่างไรก็ตาม บริษัทฯ ยังคงยึดแนวทางดำเนินการตามแผนกลยุทธ์เดิมที่ช่วยให้บริษัทบริหารงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ มีการปรับปรุงกระบวนการผลิต พร้อมทั้งวิจัยและพัฒนากระบวนการผลิตโดยการคิดค้นและนำเทคโนโลยีใหม่ๆ มาใช้ในการผลิต เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิตให้เพิ่มขึ้น การควบคุมคุณภาพให้คงที่ การบริหารต้นทุนให้ต่ำลง การประหยัดพลังงานให้มากที่สุด
สำหรับผลประกอบการปี 63 บริษัทมียอดขายรวมอยู่ที่ 3,973.38 ล้านบาท โดยยอดขายเพิ่มขึ้น 717.42 ล้านบาท หรือ 22% เทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนที่มียอดขาย 3,255.96 ล้านบาท ส่วนกำไรสุทธิ 618.71 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 243.51 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 64.9% จากงวดปี 62 ที่มีกำไร 375.20 ล้านบาท
สาเหตุที่ยอดขายและกำไรเพิ่มขึ้น เนื่องจากลูกค้าในแถบเอเชียใต้ที่ชะลอการสั่งซื้อในช่วงปีก่อน เริ่มกลับมาสั่งซื้อบางส่วนตั้งแต่ช่วงปลายปี 62 ต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน รวมถึงลูกค้าในแอฟริกามีความต้องการเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ยอดขายในสหรัฐอเมริกา ยังคงมีต่อเนื่องจากผลของสงครามการค้าระหว่างสหรัฐอเมริกาและจีน
"ผลประกอบการออกมาเป็นที่น่าประทับใจทั้งรายได้และกำไรสุทธิ โดยกำไรขั้นต้นเพิ่มขึ้น 302.99 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 45.4% จาก 667.09 ล้านบาท เป็น 970.08 ล้านบาท ในขณะเดียวกันอัตรากำไรขั้นต้นเพิ่มขึ้นจาก 20.5% เป็น 24.4% เป็นผลจากราคาเหล็กในตลาดโลกลดลงและค่าเงินบาทที่อ่อนค่าลง ส่งผลให้อัตราการทำกำไรเพิ่มขึ้น" นายสุรศักดิ์ กล่าว