นายคงกระพัน อินทรแจ้ง ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.พีทีที โกลบอล เคมิคอล (PTTGC) เปิดเผยว่า บริษัทตั้งเป้ายอดขายรวมปี 64 เติบโต 8-10% จากปีก่อน เป็นไปตามกำลังการผลิตใหม่ที่จะเพิ่มเข้ามาราว 8-10% จากโครงการ Olefins Reconfiguration Project : ORP กำลังการผลิตเอทิลีน 500,000 ตันต่อปี และโพรพิลีน กำลังการผลิต 250,000 ตันต่อปี ซึ่งจะเริ่มดำเนินการเชิงพาณิชย์ในไตรมาส 1/64, โครงการ Propylene Oxide (PO) และโครงการผลิตสารโพลีออลส์ (Polyols) ที่เริ่มดำเนินการเชิงพาณิชย์ไปแล้วในเดือน ธ.ค.63
ขณะที่ราคาผลิตภัณฑ์ต่างๆ เช่น อะโรเมติกส์, โอเลฟินส์ และ ปิโตรเลียม มีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้นในปีนี้ หลังจากผ่านจุดต่ำสุดในช่วงไตรมาส 2/63 และไตรมาส 3/63 เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ทั่วโลกทำให้ความต้องการผลิตภัณฑ์ปรับตัวลดลง
อย่างไรก็ตาม หากปีนี้ราคาผลิตภัณฑ์มีแนวโน้มดีขึ้นหลังจากสถานการณ์โควิดระลอกใหม่คลี่คลายก็มีโอกาสที่รายได้จะเติบโตได้เกิน 10%
ส่วนราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้นในขณะนี้ เชื่อว่าจะส่งผลดีต่อราคาผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีให้ปรับตัวดีขึ้นตามไปด้วย และบริษัทมีสต็อกน้ำมันในช่วงปลายปีก่อนที่ระดับราคา 50 เหรียญฯ/บาร์เรล หากปลายปีนี้ราคาน้ำมันสูงกว่าระดับดังกล่าวก็จะทำให้ PTTGC มีกำไรจากการสต็อกน้ำมัน
สำหรับกลยุทธ์การดำเนินงานในปีนี้ บริษัทฯ ยังคงยกระดับกลยุทธ์ 3 Steps ตอกย้ำการเป็นผู้นำในธุรกิจเคมีภัณฑ์ระดับสากล เพื่อสร้างสรรค์คุณภาพชีวิตโดยยึดหลักความยั่งยืนในการดำเนินธุรกิจ
Step Change กลยุทธ์การยกระดับความสามารถในการแข่งขัน สานต่อสร้างเสริม GC ให้เข้มแข็งทั้งด้านความปลอดภัยและเสถียรภาพการผลิต พร้อมยกระดับความสามารถในการแข่งขันโดยปรับปรุงหน่วยผลิตและโครงสร้างพื้นฐานให้มีความยืดหยุ่นในการใช้วัตถุดิบ สามารถต่อยอดสร้างมูลค่าเพิ่มจากการบริหารจัดการแบบองค์รวมจากโครงการ Map Ta Phut Integration และขยายตลาดสู่ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เพื่อสร้างความแข็งแกร่งในระดับภูมิภาค รวมทั้งพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้มีมูลค่าสูง (High Value Products: HVP) และมีหลากหลายรูปแบบ เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าและตลาดโลกให้มากขึ้น
Step Out กลยุทธ์การแสวงหาโอกาสเพื่อสร้างการเติบโตในธุรกิจใหม่หรือในต่างประเทศ แสวงหาโอกาสการเติบโตแบบก้าวกระโดดด้วยการลงทุนในธุรกิจใหม่ใน กลุ่ม High Value Business: HVB ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีการเติบโต และสามารถทำกำไรในระดับสูง โดยการเข้าซื้อหรือควบรวมกิจการ (M&A) รวมทั้งหาโอกาสทางธุรกิจใหม่โดยใช้ Corporate Venture Capital: CVC เพื่อขยายไปสู่ธุรกิจที่มีความโดดเด่นด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรม พร้อมก้าวไกลไประดับสากล และสานต่อการขยายฐานธุรกิจแห่งที่ 2 (Second Home Based)
Step Up กลยุทธ์สร้างความยั่งยืนทางธุรกิจ ด้วยการเป็นต้นแบบองค์กรเพื่อความยั่งยืนในระดับสากล มุ่งเน้นการดำเนินงานที่สอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development Goals :SDGs) สร้างสมดุลระหว่างสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (Environment, Social, Governance: ESG) โดยใช้หลัก GC Circular Living เป็นเครื่องมือสำคัญในการบริหารจัดการด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การบริหารจัดการน้ำอย่างครบวงจร และการดำเนินงานด้านเศรษฐกิจหมุนเวียนอย่างบูรณาการ พร้อมทั้งปรับกระบวนการดำเนินงานด้าน CSR สู่การสร้างวิสาหกิจชุมชน Social Enterprise (SE) ร่วมกับชุมชน นายคงกระพัน กล่าวอีกว่า บริษัทวางงบลงทุนในช่วง 5 ปี (64-68) วงเงินรวม 642 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยจะใช้ในโครงการสำคัญ ได้แก่ โครงการพลาสติกไซเคิลคุณภาพสูง วงเงิน 25 ล้านเหรียญสหรัฐ โครงการพลาสติกวิศวกรรมชั้นสูง วงเงิน 30 ล้านเหรียญสหรัฐ โครงการปรับปรุงโรงโอเลฟินส์หน่วยที่ 2 วงเงิน 158 ล้านเหรียญสหรัฐ และโครงการอื่นๆ วงเงิน 429 ล้านเหรียญสหรัฐ ทั้งนี้ งบลงทุนดังกล่าวยังไม่รวมการซื้อกิจการ (M&A) ที่ปัจจุบันบริษัทอยู่ระหว่างเจรจากับพันธมิตรหลายรายในธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับยานยนต์, โรงไฟฟ้าพลังงานลม และอิเล็กทรอนิกส์ เป็นต้น เนื่องจากธุรกิจดังกล่าวมีการใช้เม็ดพลาสติกเป็นวัตถุดิบส่วนใหญ่ ซึ่งคาดว่าจะเห็นความชัดเจนภายในปีนี้ บริษัทมีแผนออกหุ้นกู้เพิ่มเติมอีกในปีนี้ จากปีก่อนได้ออกหุ้นกู้สกุลเงินบาทมูลค่า 15,000 ล้านบาท และกู้เงินในประเทศอีก 30,000 ล้านบาท โดยที่ผ่านมาได้มีการขอวงเงินออกหุ้นกู้จากที่ประชุมผู้ถือหุ้นรอบก่อนไว้จำนวน 4,000 ล้านเหรียญสหรัฐ มีระยะเวลาการออกได้ภายใน 4 ปีข้างหน้า อย่างไรก็ตาม การจะออกหุ้นกู้ได้ในช่วงไหนยังต้องดูแผนการใช้เงินที่ชัดเจนและโอกาสที่เหมาะสมก่อน
ด้านความคืบหน้าโครงการปิโตรเคมีคอมเพล็กซ์ ในสหรัฐฯ ปัจจุบันบริษัทอยู่ระหว่างการเจรจากับพันธมิตรหลายรายใน 3 ทวีปหลักของโลกที่สนใจเข้าร่วมลงทุนในโครงการดังกล่าว คาดว่าจะสรุปการลงทุนขั้นสุดท้ายได้ภายในกลางปี 64 ขณะเดียวกันก็อยู่ระหว่างเจรจาต่อรองราคาก่อสร้างให้ถูกลง เพื่อให้สอดคล้องกับแนวโน้มอุตสาหกรรมในขณะนี้