นายชูวิทย์ จึงธนสมบูรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.นอร์ทอีส รับเบอร์ (NER) เปิดเผยว่า ภาพรวมผลการดำเนินงานปี 64 บริษัทตั้งเป้ารายได้ 22,000 ล้านบาท โดยมองว่าความต้องการใช้ยางในอุตสาหกรรมยังดีต่อเนื่อง ซึ่งปัจจัยหนุนหลายด้านทั้งเรื่องราคายาง เรื่องแคมเปญรถเก่าแลกรถใหม่จากประเทศจีน และความต้องการการใช้ยางทั้งในประเทศและต่างประเทศ
ขณะที่ปริมาณการขายยางพารา บริษัทคาดว่าจะสามารถทำยอดขาย 410,000 ตัน จากกำลังการผลิตทั้งหมด 460,000 ตัน นอกจากนี้ในปลายปี 64 บริษัทมีแผนจะขยายโรงงานเพื่อเพิ่มกำลังการผลิตอีก 50,000 ตัน เป็น 510,000 ตัน โดยจะลงทุนซื้อเครื่องจักรประมาณ 50 ล้านบาท เพื่อรองรับลูกค้าทั้งรายใหม่และรายเก่าที่ต้องการออเดอร์ที่เพิ่มมากขึ้น
บริษัทยังมุ่งเดินหน้าขยายฐานลูกค้าใหม่ๆโดยเฉพาะประเทศอินเดีย เนื่องจากเป็นตลาดใหญ่และอัตราการเติบโตค่อนข้างสูง ซึ่งล่าสุดอยู่ระหว่างการเจรจาลูกค้ารายใหญ่ในอินเดีย 2-3 ราย เบื้องต้นคาดจะสามารถสรุปรายละเอียดเงื่อนไขคำสั่งซื้อที่ชัดเจนได้ภายในปีนี้
ทั้งนี้ บริษัทวางนโยบายการจำหน่ายสินค้าในประเทศและต่างประเทศเป็น 60 : 40 ซึ่งในสัดส่วนลูกค้าต่างประเทศแบ่งเป็น จีน 70%, ญี่ปุ่น 20% และอื่นๆ อีก 10% เช่น สิงคโปร์ อินเดีย บังคลาเทศ เป็นต้น โดยมองว่าเป็นอัตราส่วนที่เหมาะสมของลูกค้าในประเทศที่มีการเพิ่มกำลังการผลิตจากการย้ายฐานการผลิตจากประเทศจีนย้ายมาตั้งโรงงานอยู่ที่ประเทศไทยเพิ่มมากขึ้น และลูกค้าต่างประเทศยังมีความต้องการใช้ยางธรรมชาติ แต่ปริมาณของผู้ส่งออกยางธรรมชาติในประเทศไทยมีปริมาณลดลง
ด้านราคาขายเฉลี่ยในปี 64 เชื่อว่าจะสูงกว่าปี 63 ค่อนข้างมากเนื่องจากความต้องการใช้ยางธรรมชาติทั่วโลกยังมีมากกว่าปริมาณยางธรรมชาติที่ออกมาทั่วโลก อีกทั้งคุณภาพยางธรรมชาติของประเทศไทยมีคุณภาพดี และนิยมใช้เป็นวัตถุดิบหลักของการผลิตยางล้อรถยนต์ทั้งในและต่างประเทศ
สำหรับความคืบหน้าแผ่นรองพื้นในคอกปศุสัตว์นั้นอาจจะมีความล่าช้าออกไป เนื่องจากสถานการณ์โควิด -19 ทำให้การเดินทางไปเพื่อพูดคุยและเจรจารับออเดอร์จากลูกค้ามีการชะลอออกไป อย่างไรก็ตามบริษัทมีความพร้อมในด้านการผลิตแล้ว หากสถานการณ์กลับมาปกติ และมีคำสั่งซื้อจากลูกค้า บริษัทสามารถเริ่มผลิตได้ทันที โดยคาดการณ์ว่าสินค้านี้จะมีอัตรากำไรประมาณ 25%
นายชูวิทย์ กล่าวถึงภาพรวมผลการดำเนินงานปี 63 ว่า บริษัทมียอดขายสินค้ารวม 16,349.78 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3,344.28 ล้านบาท หรือ 25.71% จากช่วงเดียวกันของปี 62 ที่มีรายได้รายได้จากการขายสินค้ารวม 13,005.50 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิรวม 858.68 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 319.80 ล้านบาท หรือ 59.35% เมื่อเทียบเดียวกันของปี 62 ที่บริษัทมีกำไรจากการยอดขายที่ 538.88 ล้านบาท
ผลการดำเนินงานที่เพิ่มขึ้นเนื่องจากเมื่อเดือน ก.ค.63 โรงงานยางแห่งที่ 2 ได้เริ่มดำเนินการผลิตยางแท่งและยางผสม จึงส่งผลให้ปริมาณคำสั่งซื้อในส่วนของยางแท่งและยางผสมเพิ่มขึ้น ส่งผลให้บริษัทมีปริมาณขายยางเพิ่มขึ้น 78,703 ตัน หรือ 28.10% จากปี 62 ที่ 280,117 ตัน เป็น 358,820 ตันในปี 63 ประกอบกับคำสั่งซื้อยางผสมคอมปาวด์ ซึ่งเป็นสินค้าใหม่ ที่มียอดจากเพิ่มขึ้นจากปี 62 ที่ 1,646 ล้านบาท จากคำสั่งซื้อจากลูกค้าประเทศจีนและสิงคโปร์อีกด้วย
สัดส่วนรายได้จากการขาย แบ่งเป็นในประเทศ 10,587.66 ล้านบาท หรือ 64.76% ของยอดขายรวม เพิ่มขึ้น 2,143.88 ล้านบาทหรือ 25.39% จากการย้ายฐานการผลิตของลูกค้าจีนมายังประเทศไทย และต่างประเทศ 5,762.12 ล้านบาท หรือ 35.24% ของยอดขายรวม เพิ่มขึ้น 1,200.40 ล้านบาท หรือ 26.3% เนื่องจากการทำสัญญาระยะยาว (Long Term Contact) กับลูกค้าต่างประเทศที่เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบจากปี 62
คณะกรรมการบริษัทยังมีมติให้จ่ายเงินปันผลสำหรับผลการดำเนินงานปี 63 ในอัตราหุ้นละ 0.21 บาท คิดเป็นเงินทั้งสิ้นประมาณ 339.08 ล้านบาท ซึ่งเมื่อหักเงินปันผลระหว่างกาลงวด 9 เดือนแรกของปี 63 ในอัตราหุ้นละ 0.06 บาทต่อหุ้น คิดเป็นเงิน 96.88 ล้านบาท เมื่อวันที่ 20 มกราคม 2564 คงเหลือเป็นเงินปันผลที่จะจ่ายในครั้งนี้อีกในอัตราหุ้นละ 0.15 บาท คิดเป็นเงิน 242.20 ล้านบาท กำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิรับเงินปันผล (Record date) ในวันที่ 23 เมษายน 2564 และกำหนดจ่ายเงินปันผลในวันที่ 7 พฤษภาคม 2564