แผนงานเฟสแรก หลังจากได้รับใบอนุญาตแล้ว บริษัทจะนำที่ดินส่วนแรก 100-200 ไร่ในจังหวัดทางภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีสภาพภูมิอากาศเหมาะสมมาใช้เพาะปลูกกัญชง โดยในช่วงแรกจะนำเข้าเมล็ดพันธุ์จากต่างประเทศ คาดว่าจะเริ่มลงมือเพาะปลูกได้ในช่วงกลางปีนี้ และใช้ระยะเวลาประมาณ 4 เดือน ก่อนจะดำเนินการเก็บเกี่ยวผลผลิต ได้แก่ ช่อดอกกัญชงและเมล็ดพันธุ์กัญชง เพื่อจำหน่ายให้แก่ผู้ประกอบการที่เป็นโรงงาน นำไปสกัดน้ำมันซีบีดี (CBD Oil) ซึ่งเป็นสารที่ไม่ออกฤทธิ์ต่อสมอง สำหรับนำไปใช้เป็นส่วนผสมในผลิตภัณฑ์บางประเภท เช่น เครื่องสำอาง เครื่องดื่ม เป็นต้น
นายวีรสิทธิ์ กล่าวว่า จากการศึกษาพบว่าช่อดอกกัญชงและเมล็ดพันธุ์กัญชงเป็นพืชเศรษฐกิจที่น่าสนใจและเป็นที่ต้องการของตลาด โดยช่อดอกกัญชงและเมล็ดพันธุ์กัญชงสามารถนำไปสกัดเป็นน้ำมันซีบีดี อันเป็นที่ต้องการของตลาด ซึ่งราคารับซื้อน้ำมันซีบีดี จากประมาณการณ์ของ บล.กสิกรฯ ด้วยพื้นที่เพาะปลูก 1 ไร่ จะสามารถนำผลผลิตที่เป็นเมล็ดพันธุ์กัญชงและดอกกัญชงมาสกัดเป็นน้ำมัน CBD ได้ประมาณ 25 กิโลกรัม
สำหรับการเพาะปลูกกัญชงในเชิงอุตสาหกรรมในปัจจุบัน เชื่อว่ายังมีปริมาณไม่เพียงพอต่อความต้องการ เนื่องจากมีผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมต่างๆ ที่ให้ความสนใจนำน้ำมันซีบีดีไปใช้เป็นส่วนผสมในการผลิตสินค้าเป็นจำนวนมาก บริษัทจึงมองเป็นโอกาสดีในการรุกเข้าสู่ธุรกิจกัญชงอย่างจริงจัง
"เราวางแผนขยายธุรกิจกัญชงเป็น 2 เฟส ในเฟสแรกเป็นการเพาะปลูกและเก็บเกี่ยวช่อดอกและเมล็ดพันธุ์ เพื่อจำหน่ายให้แก่โรงงานที่รับซื้อเพื่อนำไปสกัดน้ำมันซีบีดี หากได้ผลลัพธ์ที่ดี ในเฟสที่สองก็มีแผนขยายพื้นที่เพาะปลูกเพิ่มขึ้น โดยมีที่ดินเตรียมไว้รองรับการเพาะปลูกได้ 1,000-2,000 ไร่ จึงมีความได้เปรียบด้านต้นทุนที่ดิน นอกจากนั้น เรายังสนใจจะขยายการลงทุนสร้างห้องแล็บและโรงงานสกัดน้ำมันซีบีดี เพื่อขยายธุรกิจให้ครอบคลุมตั้งแต่ต้นน้ำ (เพาะปลูก) และธุรกิจกลางน้ำ (สกัดน้ำมันซีบีดี) ต่อไป" นายวีรสิทธิ์ กล่าว