นายวิรัตน์ ผูกไทย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.สตาร์ส ไมโครอิเล็กทรอนิกส์(ประเทศไทย) (SMT) เปิดเผยว่า บริษัทเตรียมปรับเพิ่มเป้ารายได้ปี 64 เป็นเกือบ 3 พันล้านบาท จากเดิมตั้งเป้ารายได้ไว้ที่ 2.51 พันล้านบาท จากแนวโน้มยอดการสั่งออเดอร์ของลูกค้ากลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ที่เข้ามาตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมาเพิ่มขึ้นมากจนขณะนี้บริษัทมีออเดอร์ล่วงหน้าไปแล้วถึง 9 เดือน หรือคิดเป็น 75% ของเป้ารายได้เดิม อีกทั้งบริษัทมีมูลค่างานในมือ (Backlog) ของกลุ่มลูกค้าอื่นๆ ที่รอรับรู้รายได้ในปีนี้แล้ว 50 ล้านบาท ทำให้บริษัทมั่นใจว่ารายได้ในปีนี้จะปรับตัวสูงขึ้นกว่าเป้าเดิม และเติบโตขึ้นจากปีก่อนมากกว่า 42%
บริษัทได้ปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ในการกระจายกลุ่มลูกค้าให้มีความหลากหลายมากขึ้น โดยปัจจุบันมีลูกค้าอยู่ 8-9 ราย จากปี 62 ที่มีลูกค้าหลัก 1-2 รายเท่านั้น ทำให้บริษัทลดความเสี่ยงในการพึ่งพิงลูกค้ารายใดรายหนึ่ง และสามารถนำเสนองานใหม่ ๆ ให้กับลูกค้าที่เป็นงานอัตรากำไร (มาร์จิ้น) สูงได้มากขึ้น แตกต่างจากในอดีตที่เน้นกลุ่มฮาร์ดดิสก์ เพราะแม้ว่าฮาร์ดดิสก์จะมีปริมาณการขายสูง แต่ให้มาร์จิ้นต่ำ ซึ่งการปรับกลยุทธ์กระจายกลุ่มลูกค้าส่งผลให้ผลงานของบริษัทฟื้นตัวขึ้น
ขณะเดียวกัน บริษัทยังมีการพัฒนานวัตกรรมที่เกี่ยวข้องกับชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์และนำไปนำเสนอกับลูกค้า ทำให้บริษัทสามารถเสนองานที่มีมาร์จิ้นสูงขึ้น และยังช่วยให้แนวโน้มของกำไรในปี 64 มีโอกาสเติบโตขึ้นด้วย โดยที่บริษัทมองว่ากำไรในปีนี้จะเติบโตในทิศทางเดียวกับรายได้ คาดว่าจะมีอัตรากำไรขั้นต้นไม่ต่ำกว่า 20%
"ภาพรวมของธุรกิจเริ่มฟื้นตัวขึ้นมาตั้งแต่ปีก่อน หลังจากปรับกลยุทธ์ของธุรกิจที่กระจายกลุ่มลูกค้ามากขึ้น และเน้นไปที่งานที่ให้มาร์จิ้นดี ประกอบกับภาพรวมตลาดสินค้าไอทีเติบโตสูงขึ้น ทำให้บริษัทได้รับอานิสงส์ไปด้วย ซึ่งปีนี้รายได้ก็จะเติบโตสองหลัก และปีหน้าก็อาจจะโตขึ้นไปเป็นสามหลัก จาก organic ก่อน ส่วนการที่เราจะซื้อกิจการอื่นๆเข้ามาก็ขอรอดูในช่วงปลายปี 65 ก่อน โดยที่เป้าหมายในปี 66 บริษัทจะมีรายได้แตะ 4.5 พันล้านบาท"นายวิรัตน์ กล่าว
ด้านแผนการลงทุนของบริษัทในปี 64 ตั้งงบลงทุนไว้ที่ 60 ล้านบาท เพื่อใช้ซื้อและปรับปรุงเครื่องจักร ทำให้โรงงานของบริษัทสามารถทำการผลิตได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น พร้อมกับการศึกษาการลงทุนสร้างโรงงานแห่งใหม่พื้นที่ 10,000 ตารางเมตร เพื่อรองรับออเดอร์ของลูกค้าที่จะเข้ามาเพิ่มขึ้น ซึ่งบริษัทยังคงเดินหน้านำเสนองานกับลูกค้าอย่างต่อเนื่อง
สำหรับความกังวลเกี่ยวกับค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นนั้น เนื่องจากบริษัทมีรายได้จากการส่งออก 100% บริษัทได้มีการทำสัญญาเพื่อขอปรับขึ้นค่าต้นทุนการผลิตกับลูกค้าไว้ 1-2% เมื่อทิศทางค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้น ซึ่งเป็นการป้องกันความเสี่ยง ทำให้บริษัทไม่ได้รับผลกระทบจากค่าเงินต่อผลการดำเนินงานอย่างมีนัยสำคัญ