โบรกเกอร์ ต่างเชียร์"ซื้อ"หุ้น บมจ.เมก้า ไลฟ์ไซแอ็นซ์ (MEGA) เป็นหุ้นที่ได้รับประโยชน์จากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ด้วยผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวกับสุขภาพ และเป็นผู้ผลิตยาที่มีศูนย์วิจัยผลิตภัณฑ์ด้วยตนเอง ส่งผลให้มีผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ ที่ออกมาตอบโจทย์ความต้องการได้ โดยยอดขายสินค้าของ Mega We Care และ Maxxcare ปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นต่อเนื่อง
นอกจากนี้ จากได้ประโยชน์จากวัคซีนโควิด-19 ที่จะต้องมีกระจายตัวไปให้บริการอย่างมาก ถือว่าทางบริษัทเป็นผู้นำด้านการกระจายสินค้าทั้ง FCMG และยา ทั้งประเทศเมียนมา, เวียดนาม และกัมพูชา โดยมีคลังสินค้า เอาท์เล็ท และร้านค้า จำนวนมาก ตั้งอยู่ในประเทศเหล่านี้ โดยเฉพาะการจัดการเกี่ยวกับอุณหภูมิที่ต้องต่ำกว่าปกติ
รวมถึงการผ่อนคลายเกณฑ์การใช้กัญชงและกัญชาในอุตสาหกรรมเครื่องสำอาง อาหาร เครื่องดื่ม และยา ก็คาดว่าในที่สุดบริษัทก็จะได้รับประโยชน์จากการค้นคิดผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ ที่ดึงข้อดีของกัญชงและกัญชามาใช้ในอนาคต
สำหรับประเทศเมียนมาที่ปัจจุบันมีปัญหาการเมืองภายในนั้น มองว่าราคาหุ้นได้สะท้อนกับความเสี่ยงและผลกระทบที่เกิดขึ้นไปทั้งหมดแล้ว นอกจากนี้ MEGA ยังมีงบดุลที่แข็งแกร่งเป็นเงินสดสุทธิ ด้านอัตราผลตอบแทนเงินปันผลอยู่ในเกณฑ์น่าพอใจ อีกทั้งประเมินมูลค่าหุ้นไม่ได้แพงเมื่อเทียบกับอุตสาหกรรมเกี่ยวกับเวชภัณฑ์
ราคาหุ้น MEGA ปิดเช้าที่ 40.25 บาท เพิ่มขึ้น 1.25 บาท (+3.21%) ขณะที่ดัชนี SET บวก 18.08 จุด
โบรกเกอร์ คำแนะนำ ราคาเป้าหมาย (บาท/หุ้น) เคทีบีเอสที ซื้อ 49.00 ดีบีเอส วิคเคอร์ส(ประเทศไทย) ซื้อ 47.00 ธนชาต ซื้อ 47.00 ยูโอบีเคย์เฮียน (ประเทศไทย) ซื้อ 45.00 คันทรี่ กรุ๊ป ซื้อ 43.00 ฟิลลิป (ประเทศไทย) ทยอยซื้อ 42.50
นายมงคล พ่วงเภตรา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการฝ่ายกลยุทธ์การลงทุนหลักทรัพย์ บล.เคทีบีเอสที เปิดเผยว่า MEGA เป็นหุ้นที่ได้รับประโยชน์จากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ด้วยผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวกับสุขภาพ และเป็นผู้ผลิตยาที่มีศูนย์วิจัยผลิตภัณฑ์เป็นของตัวเอง ส่งผลให้มีผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ ที่ออกมาตอบโจทย์ความต้องการได้
ในส่วนประเทศเมียนมาที่ปัจจุบันมีปัญหาเกี่ยวกับการปฏิวัติรัฐประหาร มองว่าราคาหุ้นในปัจจุบันได้สะท้อนความเสี่ยงและผลกระทบที่เกิดขึ้นไปทั้งหมดแล้ว ขณะที่ไตรมาส 4/63 บริษัทรายงานกำไรสุทธิที่ 427 ล้านบาท ใกล้เคียงกับที่คาดไว้ ขณะที่รายได้รวมมีการเติบโต 15% จากรายได้ Mega We Care และ Maxxcare ที่เพิ่มขึ้น และยังได้รับแรงหนุนจากมาตรการภาครัฐ "ช้อปดีมีคืน" กระตุ้นการซื้อสินค้ามากขึ้นด้วย
"เป็นหุ้นที่ดีอยู่แล้ว นอกจากจะเป็นบริษัทที่ผลิตยาแล้ว บริษัทยังมีการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์เป็นของตัวเองตอบโจทย์ความต้องการได้ดี รวมไปถึงมีแบรนด์สินค้าเป็นของตัวเองและติดตลาดได้รับการตอบรับที่ดีอยู่แล้วด้วย ส่วนเมียนมาเองตอนนี้ก็รับรู้ไปถึงราคาไปทั้งหมดแล้วด้วย"นายมงคล กล่าว
ส่วนบล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย) ระบุว่า MEGA รายงานกำไรสุทธิในช่วงไตรมาส 4/63 ถือว่าออกมาสอดคล้องกับที่คาดการณ์ไว้ โดยกำไรสุทธิรวมทั้งปีอยู่ที่ 1.4 พันล้านบาท เพิ่มขึ้นถึง 18% สืบเนื่องจากการเติบโตของรายได้ และการบริหารสัดส่วนค่าใช้จ่ายขาย-บริหารเทียบกับรายได้ที่ต่ำลง แม้อัตรากำไรขั้นต้นได้ลดลงบ้างตาม Product Mix
ทั้งนี้ แนวโน้มค่าเฉลี่ยอัตราการเติบโตของกำไรใน 2 ปีข้างหน้าแบบ CAGR อยู่ในเกณฑ์ดีเป็น 9% มีงบดุลที่แข็งแกร่งเป็นเงินสดสุทธิ ด้านอัตราผลตอบแทนเงินปันผลอยู่ในเกณฑ์น่าพอใจที่ประมาณ 2% สำหรับในแง่การประเมินมูลค่าหุ้นไม่ได้แพงซื้อขายด้วย P/E ปี 64 ที่ระดับ 23 เท่าซึ่งถือว่าไม่สูงเทียบกับอุตสาหกรรมเกี่ยวกับเวชภัณฑ์
นอกจากนี้ คาดจะได้ประโยชน์จากวัคซีนโควิด-19 และกัญชา สำหรับวัคซีนที่จะต้องมีกระจายตัวไปให้บริการอย่างมาก ถือว่าทางบริษัทเป็นผู้นำด้านการกระจายสินค้าทั้ง FCMG และยา ทั้งประเทศเมียนมา ประเทศเวียดนาม และประเทศกัมพูชา โดยมีคลังสินค้า เอาท์เล็ท และร้านค้า จำนวนมาก ตั้งอยู่ในประเทศเหล่านี้ โดยเฉพาะการจัดการเกี่ยวกับอุณหภูมิที่ต้องต่ำกว่าปกติ ส่วนทางด้านการผ่อนคลายเกณฑ์การใช้กัญชงและกัญชาในอุตสาหกรรมเครื่องสำอาง อาหาร เครื่องดื่ม และยา ก็คาดว่าในที่สุดบริษัทก็จะได้รับประโยชน์จากการค้นคิดผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ ที่ดึงข้อดีของกัญชงและกัญชามาใช้ในอนาคต ซึ่งปัจจุบันรายได้ในสัดส่วนราว 15% มาจากประเทศไทย
ในขณะเดียวกันบริษัทยังมีจุดเด่นคือ มีแบรนด์ที่แข็งแกร่ง เป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวาง เป็นหนึ่งในผู้นำตลาด และรุกตลาดอินโดไชน่าที่มีโอกาสเติบโตสูงในอนาคต อีกทั้งผลิตภัณฑ์ของบริษัทเน้นการป้องกันโรค รักษาโรค และชะลอความชรา (Nutraceutical Products) ซึ่งสอดคล้องกับเทรนด์โลก (Global Megatrend) ที่จะเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ ประกอบกับการมีช่องทางการจัดจำหน่ายที่แข็งแกร่งด้วย
ด้านบล.ฟิลลิป(ประเทศไทย) ระบุในบทวิเคราะห์ว่า ในช่วงไตรมาส 4/63 ที่ผ่านมาบริษัทรายงานกำไรสุทธิที่ 427 ล้านบาท สูงกว่าที่คาดไว้ ตามกการเติบโตของยอดขายและอัตรากำไรขั้นต้นที่ปรับตัวสูงขึ้นด้วย โดยยอดขายสินค้าของ Mega We Care และ Maxxcare ปรับตัวเพิ่มสูงขึ้น และยังมีรายได้จากการรับจ้างผลิตที่เข้ามาชดเชยผลกระทบที่เกิดขึ้นจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ในประเทศเมียนมาด้วย
ทั้งนี้ ปัจจุบันผู้บริโภคให้ความสำคัญและหันมาดูแลใส่ใจสุขภาพมากขึ้น โดยเฉพาะช่วงหลังที่มีการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ส่งผลให้ทิศทางผลประกอบการจะเติบโตมากกว่าที่คาดไว้