นายพิทักษ์ รัชกิจประการ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.พีทีจี เอ็นเนอยี (PTG) เปิดเผยว่า แผนการดำเนินงานของบริษัทฯ ในปี 64 ยังคงมุ่งเน้นการเติบโตอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นการขยายจำนวนสถานีบริการให้ครอบคลุมการเพิ่มการให้บริการที่มีความหลากหลายเพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าให้ตรงจุดได้มากที่สุด ถึงแม้ว่าในปีนี้เศรษฐกิจของประเทศยังคงมีความไม่แน่นอนจากการระบาดของไวรัสคิด-19 ที่ยังคงส่งผลกระทบต่อภาพรวมของเศรษฐกิจและระบบการเงินของประเทศ แต่บริษัทยังคาดว่าจะเห็นการเติบโตในอุตสาหกรรมน้ำมันโดยรวม และจะสามารถรักษาระดับการเติบโตที่สูงกว่าอุตสาหกรรมเอาไว้ได้ โดยได้ตั้งเป้าเพิ่มปริมาณการจำหน่ายน้ำมันในปีนี้อยู่ที่ 8-12%
ทั้งนี้ ในปี 64 บริษัทตั้งเป้าเพิ่มสถานีบริการน้ำมันและแก๊ส LPG อีก 100-150 แห่ง รวมถึงขยายการให้บริการธุรกิจแก๊ส LPG ครัวเรือน จากการเพิ่มสาขาการให้บริการ Gas Shop อีก 50 แห่ง ในส่วนของธุรกิจ Non-Oil ในปีนี้ คาดว่าจะเพิ่มจำนวนสาขา Non-Oil อีก 100-150 สาขา เพื่อให้บริการที่หลากหลายและครอบคลุมมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ ยังคงมุ่งเน้นการคัดสรรธุรกิจใหม่ๆ ที่ช่วยตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้รอบด้านมากขึ้น ซึ่งได้จัดสรรงบการลงทุนไว้ประมาณ 4,000-4,500 ล้านบาท เพื่อรองรับการขยายสาขาของธุรกิจน้ำมัน ธุรกิจ Non-Oil และธุรกิจใหม่
ส่วนผลการดำเนินงานประจำปี 63 บริษัทมีกำไรสุทธิ 1,906 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 343 ล้านบาท หรือคิดเป็น 22% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า และมีกำไรก่อนหักภาษีและค่าเสื่อม (EBITDA) 6,315 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1,046 ล้านบาท หรือคิดเป็น 20% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า เนื่องจากปริมาณการจำหน่ายน้ำมันที่เพิ่มขึ้นและการตลาดที่อยู่ในระดับปกติ ประกอบกับมีการควบคุมค่าใช้จ่ายอย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งหากไม่นำผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงมาตรฐานบัญชีฉบับที่ 16 มาคำนวณ บริษัทฯ จะมีกำไรสุทธิเท่ากับ 2,145 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 582 ล้านบาท หรือคิดเป็น 37% จากปีที่แล้ว
โดยมีรายได้จากการขายและการบริการรวม 104,423 ล้านบาท ลดลง 15,604 ล้านบาท หรือคิดเป็น 13% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า เนื่องจากการปรับตัวลดลงของราคาน้ำมันโลก จากผลกระทบของการแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 ส่งผลให้ราคาขายปลีกน้ำมันเฉลี่ยลดลงถึง 16% และส่งผลต่อเนื่องทำให้ค่าการตลาดของธุรกิจน้ำมันลดลงในช่วงไตรมาสแรกของปี 63 แต่ในช่วง 9 เดือนที่เหลือ ราคาน้ำมันจะมีเสถียรภาพมากขึ้น และราคาค้าปลีกน้ำมันปรับตัวสอดคล้องกับราคาต้นทุนน้ำมัน ทำให้ค่าการตลาดของธุรกิจน้ำมันกลับมาอยู่ในระดับปกติ
อย่างไรก็ตาม บริษัทฯ ยังคงสามารถรักษาระดับการเติบโตสูงกว่าอุตสาหกรรมโดยรวม เนื่องจากปริมาณจำหน่ายน้ำมันโดยภาพรวมอยู่ที่ 34,837 ล้านลิตร หรือลดลง 1.2% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า ในขณะที่บริษัทมีส่วนแบ่งการตลาดเป็นเบอร์ 2 ของประเทศ โดยมีปริมาณการจำหน่ายน้ำมันอยู่ที่ 4,959 ล้านลิตรหรือเติบโต 5.9% เมื่อเทียบจากปีก่อน ซึ่งใกล้เคียงกับเป้าที่บริษัทวางไว้ที่ 6-10%
นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังคงขยายสถานีบริการอย่างต่อเนื่อง โดยในปี 63 สามารถขยายสาขาสถานีบริการน้ำมันและแก๊ส LPG ได้ตามเป้าที่วางไว้รวมอยู่ที่ 67 สถานี จากที่กำหนดไว้ 50-100 สถานี ส่งผลให้บริษัทมีสถานีบริการรวม 2,094 แห่งทั่วประเทศ และจากการควบคุมการลงทุน เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด บริษัทฯ ใช้เงินลงทุนในการขยายธุรกิจน้ำมัน ธุรกิจที่ไม่ใช่ธุรกิจน้ำมัน (Non-Oil) และธุรกิจใหม่ รวม 2,043 ล้านบาท ต่ำกว่าเป้าที่วางไว้ที่ 3,000-3,500 ล้านบาท รวมถึงการรับรู้ส่วนแบ่งกำไรจากโครงการ Palm Complex ที่ดำเนินการโดยบริษัท พีพีพี กรีน คอมเพล็กซ์ จำกัด ซึ่งบริษัทฯ ถือหุ้น 40% โดยรับรู้กำไรเป็นจำนวน 353 ล้านบาทอีกด้วย