นายชูรัชฏ์ ชาครกุล กรรมการผู้จัดการ บมจ.ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ (LALIN) เปิดเผยว่า แผนงานในปี 64 บริษัทวางเป้าหมายรายได้ 6 พันล้านบาท สูงขึ้นจากปีก่อนที่มีรายได้ 5.76 พันล้านบาท โดยยังคงมาจากการขายโครงการแนวราบทั้งหมด ซึ่งเป็นโครงการที่รับรู้รายได้เข้ามาอย่างรวดเร็วเฉลี่ยประมาณ 2-3 เดือนสามารถโอนให้กับลูกค้าได้ ขณะที่บริษัทยังคงมีการจัดแคมเปญกระตุ้นการขายโครงการพร้อมอยู่เพื่อระบายสต็อก โดยวางงบการตลาดในปีนี้ไว้ที่ 3-4% ของยอดขาย
ขณะที่ตั้งเป้ายอดขายปีนี้ไว้ที่ 7 พันล้านบาท โดยจะเปิดโครงการใหม่เป็นแนวราบทั้งหมด 10-12 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 6-7 พันล้านบาท เนื่องจากบริษัทยังเห็นโอกาสรุกตลาดแนวราบที่มีการเติบโตและมีความต้องการซื้อมาอย่างต่อเนื่อง แต่จะมีการปรับเปลี่ยนระดับราคาในการพัฒนามาจับกลุ่มระดับบนในราคา 8-10 ล้านบาทมากขึ้น ซึ่งเป็นกลุ่มลูกค้าที่มีกำลังซื้อสูงและไม่ค่อยมีปัญหาในการขอสินเชื่อ หรือเป็นกลุ่มลูกค้าที่ซื้อเงินสดเพื่อลดความเสี่ยงจากกลุ่มระดับราคา 2-5 ล้านบาทที่ได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว และเป็นกลุ่มที่ค่อนข้างมีความเสี่ยงการปฏิเสธสินเชื่อสูง
บริษัทจะเปิดตัวเปิดโครงการใหม่ในช่วงครึ่งปีแรกนี้ 5-6 โครงการในทำเลที่บริษัทมีความเชี่ยวชาญในการพัฒยนามายาวนาน ได้แก่ สุมทรปราการ และนนทบุรี เป็นต้น ซึ่งจะเป็นโครงการบ้านเดี่ยวหรูรูปแบบใหม่ ภายใต้แบรนด์ บ้านลลิล The Prestige ซึ่งเป็นออกแบบในสไตล์ French Colonial ระดับราคา 5-8 ล้านบาทที่จะเข้ามาช่วยการขยายตลาดให้กว้างขึ้น และแบรนด์ Lanceo ที่เจาะกลุ่มลูกค้าในช่วง 3?6 ล้านบาท และในช่วง 2 เดือนแรกของปี 64 (ม.ค.-ก.พ. 64) บริษัทสามารถทำยอดขายได้แล้ว 1.5 พันล้านบาท
บริษัทตั้งงบซื้อที่ดิน 1-1.2 พันล้านบาทไว้ใช้รองรับซื้อที่ดินเพื่อพัฒนาโครงการในปีต่อไป ซึ่งทำเลที่บริษัทยังให้ความสำคัญในการซื้อที่ดินยังคงเป็นกรุงเทพโซนเหนือ กรุงเทพตะวันออก และกรุงเทพตะวันตก เพราะเป็นทำเลที่บริษัทมองเห็นถึงศักยภาพของทำเลที่ตั้ง และเป็นทำเลที่ยังมีคนนิยมมองหาซื้อบ้านเพื่ออยู่อาศัยเป็นจำนวนมาก โดยที่แหล่งเงินทุนจะมาจากกระแสเงินสดของบริษัท เงินกู้ยืมสถาบันการเงินที่ยังมีวงเงินเหลืออีก 2 พันล้านบาทยังไม่ได้เบิกใช้ ส่วนหุ้นกู้ในปีนี้จะครบกำหนดไถ่ถอน 1 พันล้านบาท บริษัทยังอยู่ระหว่างการพิจารณาจะออกหุ้นกู้ชุดใหม่เพื่อทดแทนหุ้นกู้ชุดเดิมหรือชำระคืนหุ้นกู้ที่ครบกำหนดทั้งหมด
นายไชยยันต์ ชาครกุล ประธานกรรมการบริหาร LALIN กล่าวว่า ภาพรวมเศรษฐกิจไทยในปี 64 คาดว่าจะขยายตัวได้ราว 3% ซึ่งขึ้นกับการกระจายวัคซีนให้ประชาชนในวงกว้างทำได้รวดเร็วเพียงใด แม้ภาคอสังหาริมทรัพย์ในปี 64 จะยังเผชิญปัจจัยลบหลายปัจจัย ไม่ว่าจะเป็นกำลังซื้อภายในประเทศที่ยังอ่อนตัวตามภาวะเศรษฐกิจ ระดับหนี้ครัวเรือนที่ปรับสูงขึ้น ความเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อของธนาคาร แต่ภาคอสังหาริมทรัพย์มีก็ยังปัจจัยสนับสนุนจากมาตรการภาครัฐที่ได้มีการต่ออายุมาตรการลดค่าธรรมเนียมการโอน และค่าธรรมเนียมจำนองสำหรับที่อยู่อาศัยที่ราคาไม่เกิน 3 ล้านบาท จนถึงสิ้นปี 64
ขณะที่สินค้าแนวราบยังได้รับปัจจัยหนุนจาก New Normal ที่ผู้บริโภคบางส่วนปรับเปลี่ยนพฤติกรรมจากที่เคยต้องการซื้อที่อยู่อาศัยแนวสูงมาซื้อที่อยู่อาศัยแนวราบซึ่งมีพื้นที่ใช้สอยมากกว่า สามารถตอบโจทย์การอยู่อาศัยได้จริงกว่า แม้ว่าการแข่งขันในตลาดแนวราบจะรุนแรงมากขึ้น จากผู้ประกอบการที่เน้นพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมมาก่อนหน้านี้ปรับกลยุทธ์มาทำตลาดแนวราบมากขึ้น ทำให้การพัฒนาโครงการใหม่เผชิญกับการแข่งขันสูงขึ้น แต่บริษัทมองว่ายังมีโอกาสในการแข่งขันมาก ซึ่งจะเน้นไปที่รูปแบบของบ้านและการบริการที่เข้าใจลูกค้า ประกอบกับแบรนด์ของ LALIN ยังได้รับความไว้วางใจจากลูกค้ามาอย่างยาวนาน ทำให้บริษัทมั่นใจในด้านการขายในปีนี้จะยังทำได้ดี ภายใต้ภาวะการแข่งขันที่รุนแรงมากขึ้น