นายวีระพล ไชยธีรัตต์ กรรมการผู้จัดการ บมจ.ชัยวัฒนา แทนเนอรี่ กรุ๊ป (CWT) เปิดเผยว่า แผนการดำเนินงานในปี 64 บริษัทตั้งเป้าหมายรายได้โตเกิน 30% จากปีก่อน และมีโอกาสสร้างสถิติสูงสุดใหม่
การเติบโตของธุรกิจในปีนี้จะมาจาก 3 ธุรกิจหลัก ได้แก่ 1.กลุ่มผลิตภัณฑ์หนัง ซึ่งถือเป็นรายได้หลักของบริษัทฯ เริ่มมีออเดอร์ใหม่เข้ามาอย่างต่อเนื่องจากลูกค้าหลัก คาดว่าปีนี้จะทำรายได้ 1,400 ล้านบาท 2.กลุ่มพลังงาน ปัจจุบันมีโรงไฟฟ้าชีวมวล กำลังการผลิต 9.9 เมกะวัตต์ และโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ กำลังการผลิต 5 เมกะวัตต์ คาดจะทำรายได้ 340 ล้านบาท
และ 3.บริษัท สกุลฎ์ซี อินโนเวชั่น จำกัด (SKC) ซึ่งเป็นผู้นำนวัตกรรมยานยนต์และเรืออะลูมิเนียมรายแรกของไทย อยู่ระหว่างการพัฒนารถบัสดีเซล และรถบัส EV คาดว่าจะสามารถจดทะเบียนกับกรมขนส่งทางบกและส่งมอบงานได้ภายในปลายไตรมาส 1/64 ตั้งเป้ารายได้ 600 ล้านบาท จากออเดอร์ผลิตเรือ EV ให้กับบริษัท บ้านปูเน็กซ์ และพันธมิตร และรถมินิบัส ที่มีออเดอร์เข้ามากว่า 200 คัน จะเริ่มทยอยส่งมอบตั้งแต่ไตรมาส 2/64
"มั่นใจว่าแนวโน้มผลการดำเนินงานในปีนี้จะสร้างสถิติสูงสุดใหม่ต่อเนื่อง โดยได้รับปัจจัยหนุนจากธุรกิจยานยนต์ไฟฟ้าที่เป็น New S-Curve ของบริษัทฯ ภายใต้บริษัทร่วมทุน สกุลฎ์ซี ซึ่ง CWT ถือหุ้นใหญ่ในสัดส่วน 50% มีแผนส่งมอบรถและเรือในปีนี้กว่า 600 ล้านบาท ซึ่งจะเข้ามาเสริมรายได้หลักที่มาจากธุรกิจหนัง และธุรกิจโรงไฟฟ้า 2 แห่ง ที่มีรายได้ประจำจากการขายไฟฟ้า"นายวีระพล กล่าว
นอกจากนี้ บริษัทฯอยู่ระหว่างการเตรียมความพร้อมเพื่อเข้าร่วมประมูล สัญญาซื้อขายไฟฟ้าล่วงหน้า (PPA) ในส่วนของโรงไฟฟ้าขยะของภาครัฐเพิ่มเติม เนื่องจากบริษัทได้รับสัญญาเป็นผู้ดำเนินโครงการบริหารจัดการขยะและกำจัดขยะมูลฝอยชุมชนเทศบาลนครสวรรค์ ภายใต้บริษัท กรีน เพาเวอร์ 1 จำกัด (GP1) พัฒนาร่วมกับ บริษัท ซีโรเวซท์ จำกัด
ปัจจุบันอยู่ระหว่างเข้าพัฒนาพื้นที่และก่อสร้างโรงแปลงขยะมูลฝอยชุมชนเป็นเชื้อเพลิงพลังงาน RDF และบริษัทฯจะเริ่มดำเนินการศึกษาและออกแบบโครงการโรงไฟฟ้าเชื้อเพลิงพลังงาน RDF ร่วมกับทางเทศบาลนครสวรรค์ควบคู่ไปด้วย เพื่อพัฒนาสู่การเป็นผู้ดำเนินการโรงไฟฟ้าเชื้อเพลิงพลังงาน RDF ขนาดไม่เกิน 10 MW ตามแผนพัฒนาพลังงานทดแทนและพลังงานทางเลือก (AEDP) ซึ่งหากสามารถประมูลงานเพิ่มเติมได้ คาดว่าจะโครงการแล้วเสร็จในช่วงปลายปีนี้
ส่วนผลการดำเนินงานในไตรมาส 4/63 มีรายได้รวม 497.94 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 12.99 ล้านบาท หรือ 2.68% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อนมีรายได้รวม 484.94 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 75.59 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 53.09 ล้านบาท หรือ 236% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อนมีกำไรสุทธิ 22.508 ล้านบาท โดยได้รับปัจจัยหนุนจากธุรกิจหนังที่ยังคงเติบโตอย่างแข็งแกร่ง ท่ามกลางสถานการณ์โควิด-19 แต่ด้วยการบริหารจัดการต้นทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ และราคาหนังที่ปรับตัวลดลง ส่งผลให้กำไรสุทธิเติบโตอย่างมีนัยสำคัญ รวมถึงลูกค้ามีการส่งออเดอร์ใหม่เข้ามาอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ บริษัทฯยังมีรายได้ประจำ (Recurring Income) จากธุรกิจโรงไฟฟ้า 2 แห่ง เข้ามาช่วยสนับสนุน
ขณะที่ภาพรวมปี 63 มีกำไรสุทธิ 117 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 11.77 ล้านบาท หรือ 11.18% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อนมีกำไรสุทธิ 105.26 ล้านบาท สร้างสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์