นายสุขสันต์ ยศะสินธุ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.ชโย กรุ๊ป (CHAYO) เปิดเผยถึงความคืบหน้าการขอใบอนุญาตจากทางธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เพื่อดำเนินธุรกิจซื้อหนี้ประเภทมีหลักประกันขนาดกลาง-ขนาดใหญ่มาบริหารภายใต้ บริษัท ชโย เจวี จำกัด คาดว่าจะได้รับใบอนุญาตดังกล่าวในช่วงปลายเดือน มี.ค.นี้ และจะเร่งหาพันธมิตรเข้ามาร่วมลงทุนทันที หลังจากที่ผ่านมาได้มีการเจรจากับพันธมิตรทั้งที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ และนอกตลาดหลักทรัพย์ฯ เข้ามาร่วมลงทุนแล้วจำนวนหลายราย
ทั้งนี้ บริษัทวางเป้ามูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดรวม (มาร์เก็ตแคป) หุ้น CHAYO ในปีนี้เติบโตแตะ 10,000 ล้านบาท จากปีก่อนอยู่ที่ 7,000 ล้านบาท เนื่องจากหากสามารถหาพันธมิตรเข้ามาร่วมลงทุน (JV) ในบริษัท ชโย เจวี จำกัด สำเร็จก็จะสะท้อนไปที่ราคาหุ้นมากขึ้น ประกอบกับบริษัทจะมีการออกหุ้นเพิ่มทุนเพื่อรองรับการจ่ายปันผลเป็นหุ้น และการใช้สิทธิ์แปลงใบสำคัญแสดงสิทธิ (วอร์แรนต์) ของผู้ถือหุ้น
อนึ่ง CHAYO จะจ่ายปันผลสำหรับผลการดำเนินงานในปี 63 เป็นหุ้นสามัญ 15 หุ้นเดิมต่อ 1 หุ้นปันผล และจ่ายเป็นเงินสดหุ้นละ 0.0037037 บาท กำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิได้รับเงินปันผล (Record Date) ในวันที่ 10 พ.ค.64 กำหนดจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นในวันที่ 21 พ.ค.64 พร้อมทั้งออกใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้นสามัญเพิ่มทุนของบริษัทครั้งที่ 2 (CHAYO-W2) จำนวนไม่เกิน 246,915,155 หน่วยให้แก่ผู้ถือหุ้นโดยไม่คิดมูลค่าในอัตรา 4-6 หุ้นเดิม ต่อ 1 หน่วยใบสำคัญแสดงสิทธิ
นายสุขสันต์ กล่าวว่า บริษัทยังตั้งเป้ามูลค่าสินทรัพย์จะแตะระดับ 5,000 ล้านบาทภายในปี 65 จากปีก่อนอยู่ที่ 2,800 ล้านบาท เป็นไปตามการเติบโตเฉลี่ยปีละ 25% ต่อเนื่องในช่วงปี 63-65 โดยผลการดำเนินงานปีนี้บริษัทยังคงเป้ารายได้เติบโตไม่ต่ำกว่า 25% จากธุรกิจบริหารสินทรัพย์ด้อยคุณภาพ (Asset Management) ที่คาดจะเติบโตอย่างมีนัยสำคัญ โดยวางแผนซื้อหนี้ด้อยคุณภาพเข้ามาบริหารคิดเป็นมูลค่า 10,000 ล้านบาท คาดว่าจะใช้งบลงทุน 1,000-2,000 ล้านบาท รองรับการซื้อหนี้ที่มีหลักประกัน 70% และหนี้ที่ไม่มีหลักประกัน 30% โดยเชื่อว่าหนี้ด้อยคุณภาพในระบบยังมีอยู่สูงเนื่องจากเศรษฐกิจไม่ดี ดังนั้น สถาบันการเงินจะทยอยขายหนี้ด้อยคุณภาพออกมาอย่างต่อเนื่อง
อีกทั้งยังอยู่ระหว่างเจรจาเพื่อขายทอดตลาดหลักประกัน ราว 2-3 ราย คาดว่าจะเห็นความชัดเจนได้ในช่วงไตรมาส 1/64 ถึงไตรมาส 2/64
ด้านธุรกิจเจรจา ติดตามและเร่งรัดหนี้สิน คาดว่าจะเติบโตไม่น้อยกว่า 20% จากปีก่อนมีรายได้อยู่ที่ 51.32 ล้านบาท หลังเริ่มเห็นการฟื้นตัวของธุรกิจนี้ในเดือนม.ค.และก.พ.64 และธุรกิจปล่อยสินเชื่อ บริษัทฯ วางเป้ายอดการปล่อยสินเชื่อใหม่เพิ่มอีก 200% ประมาณ 150-200 ล้านบาท เติบโตจากสิ้นปี 63 ที่อยู่ราว 51 ล้านบาท
ส่วนธุรกิจการขายสินค้าผ่าน Call Center และช่องทางออนไลน์ คาดจะเติบโตขึ้น เนื่องด้วยปัจจุบันบริษัทอยู่ระหว่างเจรจากับบมจ.ดีโอดี ไบโอเทค (DOD) เพื่อศึกษาและพัฒนาผลิตภัณฑ์อาหารเสริมที่มีส่วนผสมของกัญชง รวมถึงเครื่องสำอางที่มีส่วนผสมของกัญชงด้วย คาดว่าจะเห็นความชัดเจนได้ในไตรมาส 1/64 แต่อย่างไรก็ตามเบื้องต้นคาดจะสามารถออกผลิตภัณฑ์อาหารเสริมฯ จำนวน 2 รายการก่อน และน่าจะดำเนินการผลิตและจำหน่ายได้ในช่วงไตรมาส 3/64