นายชัชชวี วัฒนสุข ประธานกรรมการบริหาร บมจ.ที.เอ.ซี. คอนซูเมอร์ (TACC) เปิดเผยว่า บริษัทได้เข้าลงทุนในบริษัท ไทยคานาเทคอินโนเวชั่น จำกัด (TCI) โดยเข้าไปถือหุ้น 30% เพื่อต่อยอดธุรกิจและแตกไลน์สินค้าใหม่ในกลุ่มอุปโภคบริโภคที่มีส่วนผสมจากกัญชง ซึ่ง TCI มีจุดเด่นในด้านความเชี่ยวชาญในการปลูกและสกัดกัญชงมายาวนานกว่า 10 ปี และได้รับใบอนุญาตในการปลูก สกัด และจำหน่ายเชิงอุตสาหกรรมจากสำนักงานกรรมการอาหารและยา (อย.) ครบถ้วน และ TCI ที่มีองค์ความรู้และความเข้าใจในเกี่ยวกับกัญชงและกัญชา
ขณะเดียวกัน TACC สามารถนำองค์ความรู้ที่ได้จากการวิจัยและพัฒนาของ TCI มาพัฒนาต่อยอดเพื่อผลิตเป็นสินค้าเชิงพาณิชย์ คาดว่าจะนำออกมาวางจำหน่ายในช่วงครึ่งปีหลังของปี 64 หลังจากปัจจุบันบริษัทศึกษาตลาดและความต้องการของผู้บริโภคว่ามีความต้องใช้สินค้าชนิดใดบ้าง และศึกษาการทำการตลาดสินค้าประเภทนี้ในต่างประเทศ เพื่อรองรับการขยายช่องทางการขายในอนาคต ก่อนที่จะตัดสินใจเลือกสินค้ามาผลิตและขาย ซึ่งเป็นได้ทั้งอาหาร เครื่องดื่ม ยา และเวชภัณฑ์อื่นๆ รวมถึงยังรอใบอนุญาตจาก อย.ในการผลิตและจำหน่ายสินค้าปลายน้ำที่มีส่วนผสมของกัญชง
"ตอนนี้เราก็ยัง Market Research อยู่ เพราะเราต้องดูก่อนว่าผู้บริโภคต้องการสินค้าชนิดใดที่มาจากส่วนผสมกัญชง ก่อนที่เราจะตัดสินใจนำมาผลิตสินค้าเพื่อเตรียมออกจำหน่าย ซึ่งเรามองธุรกิจกัญชงเป็น Global Trend และตลาดที่ใหญ่และเติบโตเป็นมูลค่า 3 ล้านล้านบาท ภายในปี 2024 ซึ่งเป็นโอกาสของเราในการแตกไลน์ธุรกิจและขยายช่องทางการขายไปในต่างประเทศ อย่างในแคนนาดา ที่เป็นประเทศที่มีการเปิดเสรีกัญชาอย่างจริงจัง แม้ว่าจะมีผู้เล่นรายอื่นๆสนใจเข้ามาในธุรกิจนี้มากขึ้น แต่ก็ต้องดูว่าสุดท้ายแล้วจะเหลือผู้เล่นที่มีคุณภาพอยู่ในตลาดเหลือกี่เจ้า"นายชัชชวี กล่าว
ด้านแนวโน้มผลงานของบริษัทในปี 64 ยังมั่นใจทำรายได้เติบโตตามเป้า 15-20% โดยที่ภาพรวมของธุรกิจในช่วงไตรมาส 1/64 จะชะลอตัวไปบ้างในช่วงโลว์ซีซั่นของธุรกิจ แต่จะเห็นฟื้นตัวกลับมาในช่วงไตรมาส 2/64 ซึ่งเป็นช่วงไฮซีซั่นของธุรกิจเพราะเป็นฤดูร้อนที่มีการบริโภคเครื่องดื่มสูง แต่ยังมองปัจจัยเสี่ยงของปีนี้คือเรื่องการเมืองในประเทศ หากมีความรุนแรงอาจกระทบกับเป้าหมายทางธุรกิจบ้าง
ขณะที่ยอดขายของบริษัทส่วนใหญ่ในปีนี้ยังคงมาจากประเทศเป็นหลัก 95% และรายได้จากต่างประเทศได้ชะลอลงไป หลังจากเกิดการแพร่ระบาดโควิด-19 มาตั้งแต่ปี 63 โดยที่รายได้ในประเทศยังคงมาจากพันธมิตรที่เป็นคู่ค้าหลักของบริษัท คือ เซเว่น อีเลฟเว่น และยังมีโอกาสขยายเครื่องดื่มชงเข้าไปในธุรกิจในเครือที่เป็นคู่ค้าหลักเพิ่มเติม ได้แก่ สาขาของ Lotus?s go fresh ซึ่งมีอยู่กว่า 1,600 สาขา โดยอยู่ระหว่างการเจรจา จากปัจจุบันบริษัทขายเครื่องดื่มชงในสาขาของ Lotus?s ที่เป็นไฮเปอร์มาร์เก็ตอยู่แล้ว ทำให้บริษัทมองเห็นโอกาสในการขยายช่องทางการขายใหม่เพิ่มขึ้น
นอกจากนี้บริษัทยังมีการเจรจาซื้อลิขสิทธิ์คาแรคเตอร์เข้ามาบริหารเพิ่มเติมอีก 1 ดีลในปีนี้ หลังจากล่าสุดบริษัทได้เข้าซื้อลิขสิทธิ์ "Jay The Rabbit" เข้ามาบริหารในช่วงต้นปีที่ผ่านมา ซึ่งได้รับการตอบรับจากผู้บริโภคอย่างดี เช่นเดียวกับคาแรคเตอร์ "Rilakkuma" และ "หมาจ๋า" ที่บริษัทบริหารอยู่ก่อนหน้านี้